การบริหารจัดการทรัพยากรบุคคลที่ไม่มีประสิทธิภาพหรือไม่เป็นไปตามหลักสิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะในประเด็นความเท่าเทียมกันและการเคารพสิทธิของพนักงาน อาจเกิดความเสี่ยงในการสูญเสียพนักงานที่มีความสามารถ ส่งผลต่อความต่อเนื่องทางธุรกิจหรือความสามารถในการแข่งขันในอนาคตได้ หากบริษัทฯ ไม่มีกระบวนการพัฒนาทักษะ ความรู้และความสามารถใหม่ ๆ ให้กับพนักงานเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของสภาพแวดล้อมทางธุรกิจและความต้องการของลูกค้าในปัจจุบัน จะส่งผลให้บริษัทฯ เกิดความเสี่ยงในการสูญเสียโอกาสทางธุรกิจ ไม่สามารถส่งมอบผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้
หากบริษัทฯ มีการบริหารจัดการทรัพยากรบุคคลที่มีประสิทธิภาพ ปฏิบัติต่อพนักงานอย่างเท่าเทียมและเป็นธรรม ปกป้องและเคารพสิทธิของพนักงานทุกคน และส่งเสริมการพัฒนาพนักงานที่เหมาะสมต่อการเปลี่ยนแปลงในปัจจุบัน จะส่งผลให้พนักงานทำงานอย่างมีความสุขและมีประสิทธิภาพ มีความผูกพันกับบริษัทฯ มากขึ้น ทำให้คุณภาพของผลิตภัณฑ์และบริการของบริษัทฯ มีคุณภาพที่ดีขึ้น ตลอดจนเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจไปสู่เป้าหมายที่วางไว้และสร้างการเติบโตให้กับธุรกิจได้อย่างยั่งยืนต่อไป
บริษัทฯ มีการวางแผนกลยุทธ์ และติดตามแผนดำเนินการด้านบุคคลผ่านคณะกรรมการบริหารงานทรัพยากรบุคคล (Human Resource Management Committee) โดยมีประธานเจ้าหน้าที่บริหารเป็นประธาน และมีคณะกรรมการประกอบด้วยประธานเจ้าหน้าที่การตลาด ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน รักษาการประธานเจ้าหน้าที่การเงิน รักษาการประธานเจ้าหน้าที่วิศวกรรม และกรรมการผู้จัดการบริษัทย่อย จำนวนรวม 13 คน โดยการกำหนดแนวทางปฏิบัติในการดูแลพนักงานของบริษัทฯ เป็นไปตามข้อกำหนด ระเบียบ และกฎหมายภายในประเทศ และมาตรฐานสากลที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มธุรกิจที่บริษัทฯ ประกอบกิจการ ครอบคลุมถึงหลักสิทธิมนุษยชน มีการปฏิบัติต่อพนักงานทุกคนอย่างเท่าเทียมและเป็นธรรม ปกป้องและเคารพสิทธิของพนักงานทุกคน รวมถึงจัดให้มีช่องทางรับข้อร้องเรียนเพื่อรับฟังความคิดเห็น ปัญหา และความคาดหวังจากพนักงานทุกคน เพื่อนำมาพิจารณาปรับปรุงการบริหารทรัพยากรบุคคลต่อไป
บริษัทฯ ให้ความสำคัญกับการบริหารทรัพยากรบุคคลที่ดีและมีประสิทธิภาพ ตั้งแต่กระบวนการสรรหา การดูแลและรักษาบุคลากร และการพัฒนาบุคลากร เพื่อมุ่งมั่นตอบสนองประเด็นความต้องการและความคาดหวังของพนักงานให้เกิดความผูกพันต่อบริษัทฯ โดยยึดหลักการดูแลพนักงานแบบองค์รวม ทั้งร่างกายและจิตใจ เพื่อให้พนักงานมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง มีจิตใจที่มีความสุขในการทำงาน มีคุณภาพชีวิตที่ดี จะส่งผลให้พนักงานสามารถปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและเติบโตไปพร้อมกับบริษัทฯ นำไปสู่ผลสัมฤทธิ์ทางธุรกิจอย่างยั่งยืนต่อไป
บริษัทฯ ให้ความสำคัญกับการสรรหา การคัดเลือก และการว่าจ้างพนักงานที่จะมาร่วมงานกับบริษัทฯ เพื่อให้ได้บุคลากรที่มีคุณสมบัติที่เหมาะสมสอดคล้องกับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจ และมีศักยภาพในการพัฒนาเพื่อร่วมกันขับเคลื่อนองค์กรตามวัฒนธรรม AMATA DNA: DRIVE โดยสรรหาผู้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมจากพนักงานภายในกลุ่มบริษัทและจากบุคคลภายนอก โดยยึดหลักความเป็นธรรม ความเสมอภาค โปร่งใส ไม่เลือกปฏิบัติ ตลอดกระบวนการสรรหาและว่าจ้างพนักงาน ในปี 2565 บริษัทฯ มีเป้าหมายให้อัตราการสรรหาและว่าจ้างสำเร็จตามแผนอย่างน้อยร้อยละ 70 โดยมีกลยุทธ์และผลการดำเนินงาน ดังนี้
กลยุทธ์ | ผลการดำเนินงาน |
---|---|
1. วางแผนอัตรากำลังคนและขีดความสามารถให้สอดรับกับวัฒนธรรมองค์กร |
|
2. สร้างภาพลักษณ์ที่ดีผ่านสื่อออนไลน์ เพื่อดึงดูดคนรุ่นใหม่ |
|
3. สนับสนุนการการทำงานข้ามสายงานของพนักงาน เพื่อขยายขีดความสามารถ และให้พนักงานได้ทำงานในสายงานที่เหมาะสม |
|
ในปี 2565 บริษัทฯ มีอัตราตำแหน่งที่เปิดรับทั้งสิ้น 57 ตำแหน่ง และสามารถสรรหาและว่าจ้างพนักงานใหม่ได้ทั้งสิ้น 41 ตำแหน่ง คิดเป็นอัตราสำเร็จร้อยละ 72 จำนวนพนักงานของบริษัทฯ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2565 ทั้งสิ้น 277 คน โดยมีรายละเอียด ดังนี้
บริษัทฯ มีนโยบายรับพนักงานที่เกษียณอายุกลับเข้าทำงานตามความสมัครใจ โดยเป็นไปตามระเบียบปฏิบัติว่าด้วยการเกษียณอายุการทำงาน (Retirement policy) เนื่องจากบริษัทฯ ตระหนักดีว่าพนักงานที่เกษียณอายุแล้วแต่สุขภาพร่างกายยังแข็งแรง ยังทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและสามารถสร้างคุณประโยชน์แก่บริษัทฯ โดยการถ่ายทอดประสบการณ์การทำงานให้แก่พนักงานรุ่นหลังได้เป็นอย่างดี บริษัทฯ จึงเปิดโอกาสให้มีการจ้างงานหลังเกษียณอายุและพิจารณาจากความรู้ความสามารถของผู้เกษียณอายุและความเหมาะสมของลักษณะงานในทุกๆ ปี โดยพนักงานจะได้รับค่าตอบแทนตามระเบียบปฏิบัติ มีความเหมาะสม และได้รับสวัสดิการใกล้เคียงกับพนักงานอื่นทั่วไป ในปี 2565 บริษัทฯ มีพนักงานเกษียณอายุจำนวน 4 คน และมีพนักงานที่ว่าจ้างตามนโยบายการจ้างงานพนักงานเกษียณอายุจำนวนรวม 13 คน
บริษัทฯ จัดสรรสวัสดิการและสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมจากสวัสดิการพื้นฐานตามกฎหมายกำหนดให้แก่พนักงานทุกคนอย่างไม่เลือกปฏิบัติ โดยยึดหลักความเหมาะสมตามหน้าที่ความรับผิดชอบ กรณีที่เป็นพนักงานประจำและพนักงานสัญญาจ้างรายปีจะได้รับสวัสดิการเพิ่มในรูปแบบเดียวกันได้แก่ การช่วยเหลือค่าตรวจรักษาพยาบาล และการรักษาด้านทันตกรรม สวัสดิการกู้ยืมเงิน เงินช่วยเหลือประเภทต่าง ๆ ตามหลักเกณฑ์ที่บริษัทฯ กำหนด แต่มีความแตกต่างที่พนักงานประจำจะได้รับสิทธิ์เข้าร่วมกองทุนสำรองเลี้ยงชีพของบริษัทฯ และเงินชดเชยเกษียณอายุเพิ่มเติม นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้จัดสวัสดิการของพนักงานประจำและสัญญาจ้างรายปีที่ครอบคลุมไปถึงครอบครัวของพนักงานอีกด้วย เช่น เงินทุนการศึกษาบุตร เงินช่วยเหลืองานศพ เป็นต้น
ในปี 2565 บริษัทฯ ได้จัดทำแผนประกันการดูแลรักษาการติดเชื้อโรค COVID-19 พร้อมจัดหาวัคซีนทางเลือก ให้กับผู้บริหาร และพนักงานทุกระดับ และพนักงานสัญญาจ้างทุกคน (ร้อยละ 100) เพื่อป้องกันอาการติดเชื้อรุนแรง และสร้างความเชื่อมั่นให้กับพนักงานในการปฏิบัติงาน
บริษัทฯ ได้แจ้งเรื่องสวัสดิการและสิทธิประโยชน์ที่พนักงานพึงได้รับอย่างชัดเจนให้พนักงานทราบตั้งแต่วันแรกที่เริ่มงานกับบริษัทฯ และเปิดโอกาสให้พนักงานมีส่วนร่วมในการปรับปรุงสวัสดิการให้เหมาะสมและสร้างสรรค์กิจกรรมเพื่อส่วนรวม ผ่านที่ประชุมคณะกรรมการสวัสดิการ (Welfare Committee) ซึ่งประกอบด้วยผู้แทนจากพนักงานจำนวน 18 คน ที่ได้รับเลือกจากพนักงาน และผู้แทนจากบริษัทฯ จำนวน 6 คน โดยจะมีการประชุมเป็นประจำทุก 2 เดือน เพื่อส่งเสริมการมีคุณภาพชีวิตที่ดีของพนักงานซึ่งจะนำไปสู่ผลการทำงานที่ดีต่อไป และยังเป็นช่องทางหนึ่งในการรับฟังความคิดเห็น ข้อเสนอแนะรวมถึงข้อร้องเรียนจากพนักงานด้วย
บริษัทฯ สนับสนุนการวางแผนทางการเงินในระยะยาว และการเตรียมความพร้อมก่อนเกษียณอายุของพนักงานมาโดยตลอด บริษัทฯ จึงได้จัดตั้งกองทุนสำรองเลี้ยงชีพขึ้นโดยในปี 2565 มีพนักงานจำนวน 157 คน เป็นสมาชิกกองทุน คิดเป็นร้อยละ 57 ของพนักงานทั้งหมด บริษัทฯ ได้มอบหมายให้บริษัทหลักทรัพย์จำนวนสองบริษัทบริหารจัดการกองทุนสำรองเลี้ยงชีพสำหรับพนักงานเพื่อกระจายความเสี่ยงในการลงทุนตั้งแต่ปี 2563 โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของพนักงานเป็นที่ตั้ง นอกจากนี้บริษัทฯ ยังได้เชิญผู้เชี่ยวชาญทางการเงินมาให้ความรู้แก่พนักงานเพื่อให้เข้าใจภาวะเศรษฐกิจ การลงทุน และสิทธิประโยชน์ทางภาษีด้วย
พนักงานเป็นฟันเฟืองสำคัญของการดำเนินธุรกิจ การดูแลพนักงานให้มีความปลอดภัยและลดความเสี่ยงในการติดเชื้อในช่วงของการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 จึงเป็นเรื่องที่บริษัทฯ ให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก และได้ดำเนินการเพื่อสนับสนุนสุขภาพและความปลอดภัยให้แก่พนักงาน ดังนี้
การส่งเสริมการใช้เทคโนโลยี: ในปี 2565 บริษัทฯ ยังคงให้พนักงานบางส่วนทำงานจากบ้าน เพื่อลดความเสี่ยงในการแพร่ระบาดในสำนักงานโดยใช้ระบบออนไลน์ในการทำงาน การประชุม การอบรมเชิงปฏิบัติการ และการประชุมลูกค้า ซึ่งพบว่า การทำงานเป็นไปด้วยความราบรื่น ลดเวลาในการประชุม ลดการเข้ามายังสำนักงาน และสร้างความพึงพอใจให้แก่พนักงานและลูกค้า
ความปลอดภัยและสวัสดิการพนักงาน: ห้กับพนักงานทุกคน ทั้งพนักงานประจำและพนักงานสัญญาจ้าง บริษัทฯ สนับสนุนชุดอุปกรณ์ป้องกันตนเอง เช่น หน้ากากอนามัย เจลล้างมือ ถุงมือ ฯลฯ ให้กับพนักงานอย่างเพียงพอ รวมถึงได้จัดสรรพื้นที่เพื่อรองรับการกักตัวเพื่อเฝ้าระวังอาการ (Local Quarantine) ตามคำแนะนำของหน่วยงานสาธารณสุขสำหรับพนักงานที่ไม่สามารถกักตัวที่บ้านได้หากมีความเสี่ยงสูงในการติดเชื้อ สนับสนุนประกันภัยไวรัสโคโรนา และวัคซีนทางเลือกใ
การสื่อสาร: บริษัทฯ ได้ดำเนินการจัดประชุมพนักงานผ่านระบบออนไลน์อย่างสม่ำเสมอ เพื่อสื่อสารมาตรการป้องกันที่สำคัญ การให้ความรู้เกี่ยวกับโรคและการป้องกันตนเองโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ รวมถึงการประชุมผู้บริหารระดับสูงพบพนักงานเป็นประจำทุกไตรมาส
ในปี 2565 บริษัทฯ ยังคงให้พนักงานบางส่วนทำงานจากบ้าน เพื่อลดความเสี่ยงในการแพร่ระบาดในสำนักงานโดยใช้ระบบออนไลน์ในการทำงาน การประชุม การอบรมเชิงปฏิบัติการ และการประชุมลูกค้า ซึ่งพบว่า การทำงานเป็นไปด้วยความราบรื่น ลดเวลาในการประชุม ลดการเข้ามายังสำนักงาน และสร้างความพึงพอใจให้แก่พนักงานและลูกค้า
ห้กับพนักงานทุกคน ทั้งพนักงานประจำและพนักงานสัญญาจ้าง บริษัทฯ สนับสนุนชุดอุปกรณ์ป้องกันตนเอง เช่น หน้ากากอนามัย เจลล้างมือ ถุงมือ ฯลฯ ให้กับพนักงานอย่างเพียงพอ รวมถึงได้จัดสรรพื้นที่เพื่อรองรับการกักตัวเพื่อเฝ้าระวังอาการ (Local Quarantine) ตามคำแนะนำของหน่วยงานสาธารณสุขสำหรับพนักงานที่ไม่สามารถกักตัวที่บ้านได้หากมีความเสี่ยงสูงในการติดเชื้อ สนับสนุนประกันภัยไวรัสโคโรนา และวัคซีนทางเลือกใ
บริษัทฯ ได้ดำเนินการจัดประชุมพนักงานผ่านระบบออนไลน์อย่างสม่ำเสมอ เพื่อสื่อสารมาตรการป้องกันที่สำคัญ การให้ความรู้เกี่ยวกับโรคและการป้องกันตนเองโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ รวมถึงการประชุมผู้บริหารระดับสูงพบพนักงานเป็นประจำทุกไตรมาส
บริษัทฯ เปิดโอกาสให้พนักงานมีส่วนร่วมในการกำหนดแผนการทำงาน และตัวชี้วัดผลการปฏิบัติงานของตนเองร่วมกับหัวหน้างาน ให้มีความสอดคล้องกับเป้าหมายของฝ่ายงานและบริษัทฯ (Corporate KPI) โดยบริษัทฯ ได้กำหนดระบบการประเมินผลการปฏิบัติงานนี้ไว้ปีละ 2 ครั้ง คือ กลางปีและปลายปี ซึ่งจะเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้บังคับบัญชาและพนักงานได้หารือร่วมกัน (Two-way communication) เพื่อพัฒนาปรับปรุงการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นและเป็นกลไกสำคัญในการมุ่งสู่เป้าหมายของบริษัทฯ ที่ได้ตั้งไว้ รวมถึงเป็นการเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างผู้บังคับบัญชาและพนักงาน อันจะนำมาซึ่งความผูกพันต่อองค์กร ในปี 2565 บริษัทฯ ได้ดำเนินการประเมินผลการปฏิบัติงานครอบคลุมพนักงานและผู้บริหารทั่วทั้งองค์กร (ร้อยละ 100) ซึ่งการประเมินแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่
1. การประเมินผลการทำงานที่มีตัวชี้วัดผลการปฏิบัติงาน (KPI) เป็นกลไกขับเคลื่อนในกระบวนการบริหารผลงาน โดยมีการกำหนดเป้าหมายร่วมกันของพนักงานและผู้บังคับบัญชา
2. การประเมินพฤติกรรมการปฏิบัติงานแสดงออกผ่านทางคุณลักษณะร่วมขององค์กร (AMATA DNA) ซึ่งเป็นสมรรถนะหลัก (Core competency) ของบริษัทฯ และเป็นพฤติกรรมที่บริษัทฯ คาดหวัง ด้วยความเชื่อว่า วิสัยทัศน์ ภารกิจ และกลยุทธ์ จะบรรลุได้ องค์กรต้องมีพนักงานที่แสดงออกซึ่งคุณลักษณะร่วมกัน
3. การประเมินความก้าวหน้าทางอาชีพ โดยมองทั้งด้านจุดแข็งและจุดที่ควรพัฒนาของพนักงาน รวมถึงมีการทำแผนพัฒนาพนักงานระยะ 1-3 ปี ที่เห็นพ้องร่วมกันระหว่างพนักงานและผู้บังคับบัญชา
บริษัทฯ ตระหนักถึงการดูแลและรักษาพนักงานที่มีความรู้สามารถซึ่งเป็นกำลังสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนบริษัทฯให้เติบโตอย่างยั่งยืน บริษัทฯ จึงพยายามอย่างยิ่งที่จะทำให้เกิดความเป็นธรรมด้านค่าตอบแทนตามผลงานและมีสวัสดิการที่เหมาะสม รวมถึงการให้รางวัลสำหรับผู้ที่มีความสามารถเป็นที่ประจักษ์ เพื่อดึงดูดและรักษาพนักงานคนสำคัญให้อยู่กับบริษัทฯ และเติบโตเป็นผู้บริหารรุ่นใหม่ โดยบริษัทฯ ได้เข้าร่วมการสำรวจค่าจ้างและสวัสดิการกับสถาบันที่เป็นที่ยอมรับในวงการของประเทศ เพื่อเทียบเคียง (Benchmark) ระหว่างกลุ่มธุรกิจใกล้เคียงกันอย่างต่อเนื่องทุกปี เพื่อบริหารค่าตอบแทนให้สอดคล้องกับแนวโน้มความต้องการของพนักงานและให้สามารถแข่งขันในตลาดได้ ตลอดจนดึงดูดพนักงานที่มีความสามารถหรือกลุ่ม Talent เข้ามาร่วมงานกับบริษัทฯ มากขึ้น
บริษัทฯ กำหนดให้มีการประเมินผลการปฏิบัติงานของผู้บริหารระดับสูงปีละ 2 ครั้ง และใช้ผลการประเมินการปฏิบัติงานรายบุคคล มาพิจารณากำหนดค่าตอบแทนประจำปีสำหรับผู้บริหารระดับสูง โดยกำหนดตัวชี้วัดที่สอดคล้องกับ Corporate KPI ครอบคลุมด้านธุรกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมอันเป็นเป้าหมายร่วมของการพัฒนาอย่างยั่งยืนของบริษัทฯ (Sustainable Development) ที่น้ำหนักร้อยละ 75 ซึ่งผู้บริหารในแต่ละสายงานต้องนำเป้าหมายบริษัทแต่ละด้านไปบริหารและสามารถถ่ายทอดไปยังผู้ใต้บังคับบัญชาได้เพื่อดำเนินการให้บรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืนต่อไป และมีการประเมินพฤติกรรมการปฏิบัติงานแสดงออกผ่านทางคุณลักษณะร่วมขององค์กร (AMATA DNA) ที่น้ำหนักร้อยละ 25
ในปีนี้ บริษัทฯ ได้ปรับปรุงเกณฑ์การประเมินการปฏิบัติงานของผู้บริหารระดับสูงให้มีตัวชี้วัดผลการปฏิบัติงานที่ชัดเจนและสอดคล้องกับกลยุทธ์และทิศทางของบริษัทมากขึ้น โดยกำหนดตัวชี้วัดผลการปฏิบัติงานตามเป้าหมายของแผนกลยุทธ์ระยะ 3 ปี (2564-2566)
คณะกรรมการสรรหาและกำหนดค่าตอบแทนเป็นผู้พิจารณาประเมินผลและค่าตอบแทนของประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โดยตัวชี้วัดผลการปฏิบัติงานได้ถูกกำหนดขึ้นตามความเห็นร่วมกันระหว่างคณะกรรมการบริษัทและประธานเจ้าหน้าที่บริหารซึ่งครอบคลุมการดำเนินงานเพื่อบรรลุเป้าหมายทางธุรกิจควบคู่ไปกับเป้าหมายด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม ในเรื่องค่าตอบแทนนั้นได้ทำการสำรวจอัตราการปรับเงินเดือนและค่าตอบแทนสำหรับผู้บริหารจากบริษัทอื่นๆ ในธุรกิจประเภทเดียวกัน อนึ่งความเห็นชอบของคณะกรรมการสรรหาและกำหนดค่าตอบแทนจะได้รับการนำเสนอต่อคณะกรรมการบริษัทเพื่อการพิจารณาอนุมัติต่อไป
บริษัทฯ ตระหนักถึงความสำคัญในการพัฒนาศักยภาพ ความรู้ และความสามารถของพนักงานที่มีความหลากหลายตามสาขาอาชีพ และตำแหน่งงาน เพื่อรองรับโอกาสทางธุรกิจและความท้าทายในอนาคต มุ่งสู่การเป็น High Performance Organization บริษัทฯ ได้พัฒนา Core Competency โดยมีประธานกรรมการและรักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหารเป็นผู้ให้แนวปฏิบัติแก่พนักงาน และมีวิทยากรภายในเป็นผู้ถ่ายทอดความรู้ให้กับเพื่อนพนักงาน และพนักงานใหม่ครบทุกคน (ร้อยละ 100) อีกทั้งได้จัดทำโครงการ Leadership Competency เพื่อมุ่งหวังในการสร้างผู้นำรุ่นใหม่ (Future Leader) และค้นหาพนักงานศักยภาพสูง (AMATA Rising Stars) เพื่อส่งเสริมความก้าวหน้าของพนักงานและลดความเสี่ยงของบริษัทฯ ด้านการขาดแคลนบุคลากรที่มีความสามารถ ทำให้บริษัทฯ สามารถขยายธุรกิจได้ตามแผนที่กำหนดไว้
บริษัทฯ จัดทำโครงการ Rising Start เพื่อค้นหาพนักงานที่มีความสามารถในการทำงานและมีศักยภาพสูง หรือเรียกว่า Rising Star เพื่อวางแผนพัฒนาพนักงานและเตรียมผู้นำรุ่นใหม่สำหรับการขยายธุรกิจและการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต บริษัทฯ มีหลักเกณฑ์การคัดเลือกที่สอดคล้องกับกลยุทธ์ทางธุรกิจของบริษัทฯ โดยกำหนดปัจจัยแสดงศักยภาพ (Potential factors) จำนวน 5 ด้าน ที่นำมาใช้เป็นปัจจัยหลักในการพิจารณากลั่นกรองศักยภาพด้านผู้นำในอนาคต
บริษัทฯ ได้ทำการคัดเลือก Rising Star จากกลุ่มเป้าหมายที่เป็นพนักงานระดับผู้บริหารชั้นต้นขึ้นไป และกลุ่มพนักงานที่ทำงานในตำแหน่งสำคัญต่อธุรกิจของบริษัท ด้วยวิธีการประเมิน 360 องศา พิจารณาจากผลการปฏิบัติงาน และการกลั่นกรองจากคณะกรรมการบริหารทรัพยากรบุคคล โดยตั้งเป้าหมายไว้ที่ 12 คนต่อปี พนักงานกลุ่ม Rising Star จะถูกนำไปวางแผนพัฒนารายบุคคล วางแผนเส้นทางอาชีพ และยังถูกพิจารณาเป็นลำดับแรกในการเข้าสู่แผนผู้สืบทอดตำแหน่งได้อีกด้วย
เพื่อความต่อเนื่องทางธุรกิจและเตรียมความพร้อมในการขยายตัวทางธุรกิจ บริษัทฯ ได้ดำเนินการสรรหาและพัฒนาผู้ดำรงตำแหน่งแทนพนักงานระดับผู้บริหารที่ในตำแหน่งสำคัญที่ใกล้เกษียณหรือผู้บริหารที่มีความเสี่ยงอื่นที่อาจทำให้เกิดความไม่ต่อเนื่องทางธุรกิจได้ โดยเน้นวิธีการสรรหาบุคลากรจากภายใน (Internal recruitment) ก่อน แล้วจึงสรรหาบุคลากรจากภายนอก เพื่อเป็นการเพิ่มโอกาสในการเติบโตก้าวหน้าในสายอาชีพให้กับพนักงานที่มีศักยภาพในการปฏิบัติงานสูงและมีผลงานดีต่อเนื่อง
นอกเหนือจากการพัฒนาสมรรถนะในการทำงานหลักแล้ว (Core Competency) บริษัทฯ ได้กำหนดคุณลักษณะของผู้นำหรือความสามารถในการนำองค์กร (Leadership Competency) เพื่อสร้างผู้นำรุ่นใหม่ โดยในปี 2565 มีการจัดทำรายชื่อผู้สืบทอดตำแหน่ง ร้อยละ 20 ของตำแหน่งผู้บริหารระดับสูง โดยมองหาจากผู้มีศักยภาพสูงจากภายในบริษัทฯ ก่อน เพื่อจัดทำแผนพัฒนารายบุคคลต่อไปเพื่อก้าวขึ้นมาทำหน้าที่ผู้นำของหน่วยงานหรือดำรงตำแหน่งระดับบริหาร ทดแทนผู้บริหารที่กำลังจะเกษียณอายุในอีก 1-3 ปีนี้
ในปี 2565 บริษัทฯ ได้ตั้งเป้าหมายจำนวนชั่วโมงอบรมเฉลี่ยของพนักงานเท่ากับ 18 ชั่วโมงต่อคนต่อปี บริษัทฯ ได้พัฒนาหลักสูตรการอบรมทั้งในรูปแบบออฟไลน์ และออนไลน์ โดยมีผู้บริหารและพนักงานได้รับการฝึกอบรมร้อยละ 95.02 จากจำนวนพนักงานทั้งหมด โดยมีจำนวนชั่วโมงอบรมเฉลี่ยเท่ากับ 20.38 ชั่วโมงต่อคนต่อปี ระดับผู้บริหารได้รับการอบรมเฉลี่ย 30.91 ชั่วโมงต่อคนต่อปี และพนักงานระดับปฏิบัติการ 18.79 ชั่วโมงต่อคนต่อปี
บริษัทฯ ได้จัดให้มีการสำรวจความคิดเห็นของพนักงานเป็นประจำทุกปี เพื่อนำความคิดเห็น ข้อเสนอแนะ รวมถึงข้อร้องเรียนต่าง ๆ มาบริหารจัดการโดยมีคณะกรรมการบริหารงานทรัพยากรบุคคลเป็นผู้พิจารณา
บริษัทฯ ได้มีการสื่อสารผลการสำรวจระดับความผูกพันของพนักงานต่อองค์กรให้พนักงานได้รับทราบ และรายงานความคืบหน้าของการบริหารจัดการประเด็นต่าง ๆ ของปีก่อนหน้า ผ่านการประชุมพนักงานประจำไตรมาส รวมถึงการสื่อสารผ่านตัวแทนพนักงานในคณะกรรมการสวัสดิการ เพื่อนำไปพัฒนาโครงการ และรูปแบบการการดูแลพนักงานให้ดียิ่งขึ้น
ในปี 2565 พบว่าคะแนนความผูกพันของพนักงานต่อองค์กรเฉลี่ยเท่ากับ 69% เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า แต่อย่างไรก็ตามยังไม่บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่มากกว่า 70% โดยมีประเด็นข้อเสนอแนะจากพนักงานที่ต้องการให้พัฒนาอย่างเร่งด่วน ได้แก่ การสร้าง Career path เพื่อรักษาคนเก่ง คนดีมีความสามารถ ให้อยู่กับองค์กร แผนการปรับปรุงโครงสร้างเงินเดือนให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน ตลอดจนการพัฒนาระบบต่างๆ ไปสู่การปรับเปลี่ยนที่เป็น digital มากขึ้น
บริษัทฯ มีการตั้งเป้าหมายให้อัตราการลาออกของพนักงานไม่เกินค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมที่สำรวจโดยสมาคมการจัดการงานบุคคลแห่งประเทศไทย (Personnel Management Association of Thailand) และบริษัทฯ ได้ตั้งเป้าหมายของอัตราการลาออกของพนักงานของบริษัทฯ ไม่เกินร้อยละ 10 ในปี 2565 มีอัตราการลาออกของพนักงานโดยสมัครใจร้อยละ 10.5 ซึ่งใกล้เคียงกับปี 2564 ซึ่งยังคงไม่บรรลุเป้าหมาย บริษัทฯ จะทำการศึกษาปัญหา ความต้องการ และความคาดหวังของพนักงานเพื่อตอบสนองได้อย่างเหมาะสมต่อไป
+84 251 3991 007 (South)
+84 203 3567 007 (North)
+85 620 5758 0007
© AMATA CORPORATION PCL. All rights reserved. Web by Toneyes