สิ่งแวดล้อม ชุมชนท้องถิ่นและบริษัทฯ ต่างให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการผลกระทบทางสังคม และสนับสนุนการพัฒนาสังคม บริษัทฯ จึงมุ่งมั่นในการสร้างกระบวนการการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้เสียที่อยู่ภายในและโดยรอบนิคมอุตสาหกรรมอมตะ เพื่อร่วมกันพัฒนานิคมอุตสาหกรรมของอมตะให้เป็นเมืองสมบูรณ์แบบ ที่ชุมชนท้องถิ่นโดยรอบสามารถอยู่ร่วมกับนิคมอุตสาหกรรมได้อย่างมีความสุขและสร้างคุณค่าร่วมกัน
หากชุมชนโดยรอบนิคมอุตสาหกรรมไม่ได้รับการดูแลและป้องกันผลกระทบที่ได้รับจากการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ อาจเกิดความเสี่ยงที่จะสูญเสียความสัมพันธ์อันดีระหว่างกัน ส่งผลให้เกิดความขัดแย้งกับชุมชนและการต่อต้านจากชุมชนในการขยายธุรกิจของบริษัทฯ ในอนาคต ตลอดจนกระทบต่อความเชื่อมั่นและการตัดสินใจของนักลงทุนได้
การพัฒนาชุมชนในมิติต่างๆ โดยมุ่งหวังให้ชุมชนมีความปลอดภัยและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นจากการเข้าถึงบริการขั้นพื้นฐานที่มีคุณภาพอย่างเพียงพอ จะช่วยให้เกิดการยอมรับจากชุมชน (Social License to Operate) รวมถึงสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม ส่งผลให้บริษัทฯ ดำเนินธุรกิจต่อไปได้อย่างราบรื่น การดำเนินโครงการพัฒนาชุมชนและสังคมเพื่อช่วยยกระดับคุณภาพการศึกษา บริษัทฯ จะมีแรงงานท้องถิ่นที่มีฝีมือเพื่อรองรับความต้องการใช้ของลูกค้าได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะช่วยสร้างงานสร้างอาชีพให้แก่คนในชุมชนและช่วยพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่นให้ดีขึ้นอีกทางหนึ่ง และสนับสนุนการเติบโตของลูกค้าของบริษัทฯ ต่อไป
จากปรัชญา “ALL WIN” ที่บริษัทฯ ได้ยึดถือเป็นหลักในการดำเนินธุรกิจมาโดยตลอด และมีเป้าหมายในการสร้างการเติบโตทางธุรกิจควบคู่ไปกับการพัฒนาชุมชนและสังคมอย่างยั่งยืน บริษัทฯ จึงได้กำหนดกลยุทธ์หลักด้านความยั่งยืนที่เชื่อมโยงกับการพัฒนาชุมชนและสังคมในด้านต่าง ๆ และมุ่งเน้นที่ความร่วมมือระหว่างบริษัทฯ ชุมชน ลูกค้าในนิคมอุตสาหกรรมและหน่วยงานภาครัฐ ในการขับเคลื่อนโครงการพัฒนาชุมชน นอกจากนี้บริษัทฯ ได้นำเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ (UN Sustainable Development Goals: SDGs) มาใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาชุมชนด้วย
บริษัทฯ ได้กำหนดแนวทางการดำเนินงานเกี่ยวกับการพัฒนาชุมชน โดยมุ่งเน้นการสร้างความสัมพันธ์อันดีกับชุมชนท้องถิ่นซึ่งเป็นหนึ่งในผู้มีส่วนได้เสียหลัก เพื่อสร้างความเข้าใจและความเชื่อมั่นในการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ และเปิดโอกาสให้ประชากรในชุมชนและผู้มีส่วนได้เสียอื่นในสังคมสามารถเข้าถึงบริการที่บริษัทฯดำเนินการ นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมุ่งเน้นการสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างผู้มีส่วนได้เสียอื่นของบริษัท ฯ เช่น ลูกค้า คู่ค้า และหน่วยงานหลายภาคส่วนในการร่วมกันพัฒนาชุมชนและสังคมส่วนรวม
บริษัทฯ ได้จัดตั้งคณะทำงานชุมชนสัมพันธ์และความรับผิดชอบเพื่อสังคม ตั้งแต่ปี 2557 เพื่อขับเคลื่อนโครงการภายใต้เป้าหมายด้านการพัฒนาที่ยั่งยืนของบริษัทที่เชื่อมโยงกับการพัฒนาชุมชนและสังคม ดูแลและติดตามโครงการพัฒนาชุมชนให้มีประสิทธิภาพ บริษัทฯ ได้ทำการสำรวจปัญหา ความต้องการ และความคาดหวังของชุมชนท้องถิ่นผ่านกระบวนการสร้างความสัมพันธ์กับกลุ่มผู้มีส่วนได้เสีย (stakeholder engagement process) และนำประเด็นสำคัญด้านความยั่งยืนมาพัฒนาเป็นกลยุทธ์และเป้าหมายการดำเนินกิจกรรมของบริษัทฯ
ปัจจุบันการพัฒนาพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมอมตะทั้งสองแห่งในประเทศไทยของบริษัทฯ นั้นมีพื้นที่กว่า 70 ตารางกิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่ 3 จังหวัด คือจังหวัดชลบุรี จังหวัดฉะเชิงเทรา และจังหวัดระยอง มีจำนวนพนักงานที่ทำงานในนิคมกว่าสามแสนคน มีประชากรอาศัยอยู่ในชุมชนรอบนิคมอุตสาหกรรมกว่า 840,000 คน การขยายตัวของนิคมอุตสาหกรรมส่งผลกระทบต่อชุมชนและสังคมโดยรอบ เช่น ความแออัดของประชากรและการสัญจร การขยายตัวของชุมชนเมืองที่เกิดจากการเข้ามาของแรงงานต่างถิ่น ความปลอดภัยทางถนน เป็นต้น การบริหารจัดการผลกระทบทางสังคมจึงเป็นประเด็นสำคัญด้านความยั่งยืนที่ทั้งบริษัทฯ และผู้มีส่วนได้เสียต่างให้ความสำคัญ และบริษัทฯ จึงได้กำหนดแนวทางในการบริหารจัดการผลกระทบทางสังคม และการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีของคนในชุมชน ดังนี้ :
ผู้ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ ได้แก่ชุมชนท้องถิ่นโดยรอบ บริษัทฯจึงได้ให้ความสำคัญกับการดูแลชุมชนท้องถิ่นในพื้นที่รัศมี 5 กิโลเมตรจากนิคมอุตสาหกรรมอมตะ เพื่อลดผลกระทบเชิงลบที่อาจเกิดขึ้น และสร้างเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างกันเพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างยั่งยืน
นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ชลบุรี มีพื้นที่ที่ดำเนินกิจการอยู่ในปัจจุบันกว่า 43 ตารางกิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่ 5 อำเภอ 24 ตำบล ในจังหวัดชลบุรีและฉะเชิงเทรา มีชุมชนโดยรอบนิคมอุตสาหกรรมในระยะ 5 กิโลเมตรจากขอบพื้นที่โครงการ จำนวน 212 หมู่บ้าน บนพื้นที่กว่า 260 ตารางกิโลเมตร มีประชากรตามทะเบียนบ้านในชุมชนโดยรอบ ประมาณ 318,527 คน แต่มีประชากรทั้งหมดรวมประชากรแฝงซึ่งย้ายถิ่นที่อยู่อาศัยมาเพื่อทำงานในพื้นที่นี้จำนวน 697,855 คน (ที่มา: กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย รายงานสถิติจำนวนประชากรและบ้าน ประจำปี 2564) โดยจำนวนพนักงานที่ทำงานในโรงงานอุตสาหกรรมต่าง ๆ ในนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ชลบุรี ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2564 มีจำนวนกว่า 177,665 คน
นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ระยอง มีพื้นที่ที่ดำเนินกิจการอยู่ในปัจจุบันกว่า 27 ตารางกิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่ 4 อำเภอ 6 ตำบล ในจังหวัดชลบุรีและระยอง มีชุมชนโดยรอบนิคมอุตสาหกรรมในระยะ 5 กิโลเมตรจากขอบพื้นที่โครงการ มีจำนวน 20 หมู่บ้าน มีประชากรตามทะเบียนบ้านในชุมชนโดยรอบ ประมาณ 84,370 คน แต่มีประชากรทั้งหมดรวมประชากรแฝงซึ่งย้ายถิ่นที่อยู่อาศัยมาเพื่อทำงานในพื้นที่นี้จำนวน 154,946 คน (ที่มา: กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ระบบสถิติทางการทะเบียน ประจำปี 2564) โดยจำนวนพนักงานที่ทำงานในโรงงานอุตสาหกรรมต่าง ๆ ในนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ระยอง ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2564 มีจำนวนกว่า 81,094 คน
บริษัทฯ ได้จัดตั้งคณะกรรมการชุมชนชุดต่าง ๆ เพื่อเป็นช่องทางในการรับฟังปัญหา ความคาดหวัง และข้อเสนอแนะจากชุมชนเพื่อการปรับปรุงที่ดีขึ้น ตลอดจนให้ข้อเท็จจริง และแก้ไขข้อร้องเรียนอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อทำให้ผู้มีส่วนได้เสียสำคัญของบริษัทฯ ได้แก่ ชุมชนและหน่วยงานราชการที่ทำหน้าที่กำกับดูแลบริษัทฯ เกิดความเข้าใจในการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ เป็นการสร้างความเชื่อมั่น ความไว้วางใจ และความผูกพันให้เกิดขึ้นระหว่างกัน
คณะกรรมการชุดต่าง ๆ ประกอบด้วย คณะกรรมการไตรภาคี หรือคณะกรรมการที่มีโครงสร้างของกรรมการมาจากตัวแทนของ ชุมชน หน่วยงานราชการ และบริษัทฯ, คณะกรรมการพัฒนาชุมชนโดยรอบนิคมอุตสาหกรรม, Eco-Green Network, และสภาบริหารจัดการลุ่มน้ำคลองหลวง เป็นต้น โดยแต่ละคณะกรรมการจะมีบทบาทหน้าที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาชุมชนที่อยู่โดยรอบนิคมอุตสาหกรรมทั้งสองแห่งของบริษัทฯ และการเสนอแนะประเด็นที่เป็นกังวลของชุมชน หรือข้อร้องเรียนที่มีต่อการประกอบกิจการของบริษัทฯ
Committee | Objectives | 2021 Performance |
---|---|---|
คณะกรรมการพัฒนาชุมชนโดยรอบนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ชลบุรี ประกอบด้วยกรรมการผู้แทนภาคประชาชน กรรมการผู้แทนภาคราชการ และกรรมการผู้แทนภาคโครงการ จำนวน 97 คน
คณะกรรมการพัฒนาชุมชนโดยรอบนิคมอุตสาหกรรมอมตะ ซิตี้ ระยอง ประกอบด้วยกรรมการผู้แทนภาคประชาชน กรรมการผู้แทนภาคราชการ และกรรมการผู้แทนภาคโครงการ จำนวน 29 คน |
|
|
Eco-Green Network: คณะทำงานประกอบด้วยตัวแทนจากบริษัทฯ ผู้ประกอบการในนิคม ชุมชนท้องถิ่น หน่วยงานราชการท้องถิ่น โรงพยาบาล และโรงเรียน |
|
|
สภาบริหารจัดการลุ่มน้ำคลองหลวง |
|
|
การประเมินผลกระทบทางสังคม เป็นหนึ่งในกระบวนการประเมินผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม (Environmental Impact Assessment; EIA) โดยการประเมินผลกระทบทางสังคม บริษัทฯ ใช้วิธีการวิเคราะห์ผู้มีส่วนได้เสียตลอดห่วงโซ่อุปทาน (Stakeholder Analysis) เพื่อวิเคราะห์กิจกรรมทางธุรกิจที่ส่งผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อผู้มีส่วนได้เสีย ประกอบกับการสำรวจทัศนคติชุมชน ซึ่งบริษัทฯ ได้ดำเนินการเป็นประจำทุกปีตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมในช่วงระหว่างการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ
จากผลการสำรวจทัศนคติของชุมชนและความคาดหวังจากคณะกรรมการชุมชนชุดต่าง ๆ ในปี 2564 สามารถสรุปผลกระทบทางสังคมที่เกิดขึ้นได้เป็น 2 ประเด็น คือ 1) ปัญหาการจราจร และ 2) ปัญหาด้านเศรษฐกิจชุมชน นอกจากนี้ ชุมชนมีความคาดหวังในเรื่องการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม ได้แก่ การจัดการน้ำเสีย ด้วย
บริษัทฯ ได้กำหนดกลยุทธ์การพัฒนาชุมชนและรูปแบบกิจกรรมต่างๆให้สอดคล้องกับความต้องการและความคาดหวังของผู้มีส่วนได้เสียแต่ละกลุ่มอย่างเหมาะสม โดยร่วมมือกันระหว่างบริษัทฯ ลูกค้าผู้ประกอบการในนิคม ภาครัฐ หน่วยงานท้องถิ่น และชุมชน ภายใต้กรอบการพัฒนาชุมชน 5 ด้าน ที่สนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนของสหประชาชาติ (UN Sustainable Development Goals: UN SDGs) อีกทางหนึ่งด้วย โดยกำหนดเป้าหมายของการพัฒนาชุมชนในปี 2564 ที่คะแนนความพึงพอใจของชุมชนที่มีต่ออมตะ ไม่น้อยกว่า 85%
ในปี 2564 บริษัทฯ ได้ดำเนินกิจกรรมและโครงการจำนวนทั้งสิ้น 81 โครงการ โดยใช้งบประมาณในการลงทุนทางสังคม (ไม่รวมเงินบริจาค) รวม 18.52 ล้านบาท มีผู้เข้าร่วมกิจกรรมทั้งสิ้น 125,000 คน และผู้ที่ได้รับประโยชน์ทั้งทางตรง และทางอ้อมจากกิจกรรมและโครงการที่บริษัทฯ ดำเนินการจำนวนกว่า 1.1 ล้านคน
การพัฒนาเศรษฐกิจชุมชน
การเติบโตของนิคมอุตสาหกรรมนั้นส่งผลกระทบทั้งเชิงบวกและเชิงลบต่อระบบเศรษฐกิจของชุมชนท้องถิ่น เช่น การกระจายรายได้ การเพิ่มขึ้นของความต้องการแรงงาน หรือ การเกิดขึ้นของความต้องการสินค้าหรือบริการ ในขณะที่การเติบโตของเมืองทำให้ค่าครองชีพของชุมชนสูงขึ้น บริษัทฯ จึงให้ความสำคัญต่อการพัฒนาชุมชนท้องถิ่นให้เติบโตไปพร้อมกับการเติบโตของบริษัทฯ โดยใช้กลยุทธ์ในการสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจให้กับผู้มีส่วนได้เสียในชุมชนทุกกลุ่ม เช่น ผู้ประกอบการท้องถิ่น กลุ่มวัยแรงงาน กลุ่มผู้สูงอายุ และกลุ่มผู้ด้อยโอกาสทางสังคม โดยสนับสนุนการจ้างงานในท้องถิ่น และพัฒนาโครงการเพื่อตอบสนองความต้องการ และพัฒนากลุ่มผู้มีส่วนได้เสียในชุมชนดังกล่าว ให้สามารถสร้างอาชีพ สร้างรายได้ และพึ่งพิงตัวเองได้อย่างยั่งยืน
โครงการ Farm to Factory
จากผลการสำรวจชุมชนท้องถิ่นของบริษัทฯ พบว่า ชุมชนมีผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร และสินค้าแปรรูปจำนวนมากที่ต้องการเพิ่มช่องทางการตลาด บริษัทฯ เห็นว่าโรงงานจำนวนมากในนิคมอุตสาหกรรม และพนักงานที่ทำงานในโรงงานเป็นตลาดใหญ่ที่มีความต้องการผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรจำนวนมาก ดังนั้น บริษัทฯ จึงได้จัดโครงการ “Farm to Factory” ขึ้น โดยมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมมีการซื้อขายระหว่างโรงงานในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมอมตะทั้งสองแห่งกับชุมชนท้องถิ่น เป็นการสนับสนุนให้ชุมชนท้องถิ่นได้มีโอกาสขายสินค้าได้ในระยะยาวโดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรและสินค้าแปรรูป สามารถสร้างเศรษฐกิจท้องถิ่นให้เติบโตได้อย่างยั่งยืน และผู้ซื้อได้รับสินค้าที่สดใหม่และมีคุณภาพจากผู้ผลิตโดยตรง
ปี 2561 บริษัทฯ ได้เริ่มต้นทำโครงการ Farm to Factory ร่วมกับการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยโดยใช้นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ชลบุรี เป็นพื้นที่นำร่อง บริษัทฯ เป็นตัวกลางระหว่างชุมชนท้องถิ่นกับโรงงานในนิคมอุตสาหกรรมในการซื้อขายผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร โดยบริษัทฯ และการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยได้เข้าไปช่วยยกระดับมาตรฐานสินค้าให้ตรงตามความต้องการของผู้ซื้อด้วย
บริษัทฯ มีเป้าหมายให้กลุ่มวิสาหกิจชุมชนที่อยู่ในชุมชนเป้าหมายโดยรอบพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ชลบุรี ที่ผลิตและพัฒนาสินค้าของชุมชน ได้มีช่องทางในการจัดจำหน่ายสินค้า และสร้างรายได้ให้กับสมาชิกของกลุ่มฯ ในปี 2564 มีโรงงานในนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ชลบุรีเข้าร่วมโครงการ “Farm to Factory” จำนวน 40 โรงงาน และ ชุมชนท้องถิ่นจากจังหวัดฉะเชิงเทราและชลบุรีจำนวน 32 ชุมชน เข้าไปจำหน่ายสินค้าให้กับโรงงานเฉลี่ยอยู่ที่ 1 ครั้ง/เดือน และมีเงินรายได้จากการจำหน่ายสินค้าในปี 2564 จำนวนรวม 8.72 ล้านบาท
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้พัฒนาช่องทางการขายสินค้าออนไลน์ของชุมชนบนเว็บไซต์ คือ https://amatachuanshop.com/ ซึ่งสามารถเพิ่มช่องทางการขายให้กับสินค้าชุมชนมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ ได้นำสินค้าของชุมชนทั้งอมตะซิตี้ ชลบุรี และอมตะซิตี้ ระยอง ประชาสัมพันธ์ขายบนเว็บไซต์ดังกล่าวแล้วกว่า 18 รายการ
ดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม
โครงการชุมชนต้นแบบด้านการจัดการน้ำและขยะอย่างยั่งยืน
นอกจากบริษัทฯ จะให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการน้ำและขยะที่เกิดขึ้นภายในนิคมฯ แล้ว บริษัทฯ ยังตระหนักถึงการดูแลชุมชนโดยรอบนิคมอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากการดำเนินงานของบริษัทฯ ด้วย เนื่องจากการขยายธุรกิจของบริษัทฯ ส่งผลให้มีประชากรอยู่อาศัยกันอย่างหนาแน่นในชุมชนโดยรอบนิคมอุตสาหกรรม บริษัทฯ จึงได้จัดทำโครงการชุมชนต้นแบบด้านการจัดการน้ำและขยะอย่างยั่งยืน โดยใช้ความชำนาญและประสบการณ์ในการบริหารจัดการน้ำและขยะของบริษัทฯ ในพัฒนาชุมชนต้นแบบ ให้ประชาชนในชุมชนเกิดความรู้และความเข้าใจในการกำจัดขยะมูลฝอยอย่างถูกวิธีและสามารถคัดแยกขยะตามหลัก 3Rs เพื่อนำขยะไปใช้ประโยชน์อย่างคุ้มค่าและสร้างมูลค่าเพิ่มตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน ช่วยลดผลกระทบต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะลดผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อแหล่งน้ำชุมชน จากการทิ้งขยะ และปล่อยน้ำเสียครัวเรือนลงในแหล่งน้ำ บริษัทฯ ได้รับความร่วมมือจากหลายหน่วยงานในการดำเนินโครงการ อาทิ เทศบาลหนองไม้แดง ผู้ประกอบการตลาดนินจา ผู้ประกอบการตลาดนัดกำนันดำ โรงเรียนบ้านห้วยสาลิกา โรงเรียนอนุบาลวัดอู่ตะเภา เป็นต้น
ผลการดำเนินงานในปี 2564 บริษัทฯ ได้ตรวจวัดคุณภาพของน้ำจากแหล่งน้ำชุมชนโดยมีเป้าหมายให้ค่า BOD (Biochemical Oxygen Demand)ไม่เกิน 10 mg/L (ดีกว่าค่ามาตรฐานของกรมควบคุมมลพิษที่กำหนดไว้ไม่เกิน 20 mg/L) และผลการตรวจวัดค่า BOD ของแหล่งน้ำในชุมชนที่ดำเนินโครงการ ณ จุดวัดคุณภาพน้ำบริเวณประตูระบายน้ำคลองตำหรุ มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 7.3 mg/L ซึ่งลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2560
สนับสนุนความปลอดภัยและการมีสุขภาพที่ดี
ส่งเสริมความปลอดภัยบนท้องถนน
นิคมอุตสาหกรรมอมตะทั้งสองแห่ง มีพนักงานที่ทำงานภายในพื้นที่ประมาณ 300,000 คน จากผลการสำรวจข้อมูลการใช้รถใช้ถนนภายในนิคมอุตสาหกรรมอมตะ พบว่ามียานพาหนะที่ใช้เส้นทางสัญจรภายในพื้นที่กว่า 116,800 คันต่อวัน จำแนกเป็นรถโดยสารรับ-ส่งพนักงาน จำนวน 1,800 คัน รถยนต์โดยสารส่วนบุคคลจำนวน 48,000 คัน และรถจักรยานยนต์จำนวน 67,000 คัน ส่งผลให้เกิดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุทางท้องถนนค่อนข้างสูง บริษัทฯ จึงได้มีการบริหารจัดการจราจรอย่างเข้มงวด และจัดให้มีแผนบริหารจัดการความปลอดภัยทางท้องถนนที่มีการบูรณาการทุกภาคส่วนในการร่วมกันบริหารจัดการจราจรภายในนิคมอุตสาหกรรมอมตะ
บริษัทฯ ได้นำข้อมูลสถิติการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน เช่น สาเหตุ และรูปแบบของการเกิดอุบัติเหตุ มาวิเคราะห์เพื่อใช้ในกระบวนการบริหารจัดการ และแก้ไขปัญหา โดยเฉพาะปัญหาที่เกิดขึ้นจากโครงสร้างของถนน และรูปแบบของช่องทางเดินรถ ในปี 2564 บริษัทฯ ได้ปรับปรุงรูปแบบช่องทางการเดินรถของถนนภายในนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ชลบุรี จากรูปแบบทางแยกที่มีรถสัญจรเป็นจำนวนมาก และมีสถิติยืนยันการเกิดอุบัติเหตุบริเวณดังกล่าวเป็นจำนวนมากในแต่ละปี โดยปรับเปลี่ยนเป็นถนนวงเวียน จำนวน 2 จุด รวมจำนวนวงเวียนที่บริษัทฯ ก่อสร้างแล้วเสร็จในปัจจุบันจำนวน 5 จุด สามารถช่วยลดอุบัติเหตุทางถนนลงจากปี 2563 ได้ร้อยละ 57.46 และลดลงจากปีฐาน 2560 ร้อยละ 70.3
โครงการบริจาคโลหิต
นิคมอุตสาหกรรมอมตะทั้งสองแห่ง เป็นนิคมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่มีพนักงานทำงานอยู่ภายในจำนวนมาก ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ และมีประชาชนในชุมชนโดยรอบจำนวนรวมกันกว่า 500,000 คน จึงเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพสูงในการรับบริจาคโลหิตเพื่อเป็นแหล่งโลหิตสำรองให้กับสภากาชาดไทย บริษัทฯ จึงร่วมมือกับภาคบริการโลหิตแห่งชาติที่ 3 จังหวัดชลบุรี เหล่ากาชาดจังหวัดระยอง และการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย รณรงค์ และเชิญชวนพนักงานบริษัทในกลุ่มอมตะ และพนักงานของสถานประกอบการในนิคมอุตสาหกรรมอมตะทั้งสองแห่ง ร่วมกันบริจาคโลหิต
บริษัทฯ มีเป้าหมายในการรับบริจาคโลหิตเพื่อสนับสนุนโลหิตให้กับสภากาชาดไทยไม่ต่ำกว่าปีละ 1 ล้านซีซี โดยจัดกิจกรรมต่อเนื่องเป็นประจำทุกปี ในปี 2564 นับเป็นปีที่ 10 ที่บริษัทฯ ได้ดำเนินกิจกรรมบริจาคโลหิต มีพนักงานของบริษัทฯ และพนักงานของโรงงานต่าง ๆ จากทั้งสองนิคมอุตสาหกรรมเข้าร่วมในกิจกรรมบริจาคโลหิต ทั้งสิ้น 5,738 คน ได้ยอดรวมปริมาณโลหิตที่ได้จากทั้งสองนิคมอุตสาหกรรมทั้งสิ้น 2,295,200 ซีซี โดยมียอดโลหิตที่บริจาคได้สะสมทั้ง 10 ปี กว่า 16.3 ล้านซีซี สามารถนำไปช่วยเหลือผู้ป่วยได้กว่า 122,250 คน
โครงการ AMATA Fights COVID-19
ในปี 2564 ยังมีการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 อย่างต่อเนื่อง ส่งผลกระทบต่อปัญหาด้านสุขภาพและความปลอดภัยของคนในชุมชน โดยเฉพาะการเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้ติดเชื้อในจังหวัดชลบุรี และระยอง ซึ่งเป็นที่ตั้งโครงการของบริษัทฯ ที่นำมาสู่ปัญหาขาดแคลนเตียงในสถานพยาบาลเพื่อรองรับผู้ติดเชื้อ หรือสถานที่สำหรับคัดแยกผู้ติดเชื้อออกจากชุมชนเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดเพิ่มเติม และส่งผลกระทบทางสังคมอื่น ๆ เช่น รายได้ที่ลดลงของคนในชุมชนเนื่องจากไม่สามารถออกไปทำงานได้ เป็นต้น บริษัทฯ จึงร่วมมือกับผู้มีส่วนได้เสียของบริษัทฯ ได้แก่ หน่วยงานราชการและรัฐวิสาหกิจ ลูกค้า หุ้นส่วนกลยุทธ์ทางธุรกิจ คู่ค้าและผู้รับเหมา และผู้นำชุมชน ในการดำเนินโครงการต่าง ๆ ร่วมกันเพื่อลดผลกระทบที่เกิดขึ้นจากวิกฤตการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ดังนี้
การจัดตั้งโรงพยาบาลสนามเพื่อรองรับผู้ป่วยโรค COVID-19
บริษัทฯ ร่วมกับสาธารณสุขอำเภอปลวกแดง โรงพยาบาลปลวกแดง องค์การบริหารส่วนตำบลมาบยางพร และสำนักงานนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ระยอง จัดตั้งโรงพยาบาลสนามมาบยางพร ขนาด 300 เตียง และร่วมมือกับสำนักงานนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ชลบุรี เพื่อจัดตั้งศูนย์พักคอยอมตะซิตี้ ชลบุรี (AMATA City Chonburi Community Isolation) ขนาด 300 เตียง รวมจำนวน 600 เตียง เพื่อรองรับผู้ติดเชื้อกลุ่มไม่แสดงอาการ หรือแสดงอาการเล็กน้อย (กลุ่มสีเขียว - สีเหลือง) ซึ่งมีแพทย์ และพยาบาลประจำโรงพยาบาลสนามจากโรงพยาบาลปลวกแดง และโรงพยาบาลวิภารามอมตะนครตลอด 24 ชั่วโมง โดยได้รับการสนับสนุนอาคารโรงงานให้เช่าสำเร็จรูปจากบริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จํากัด (มหาชน) ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ชลบุรี และระยอง เพื่อจัดตั้งเป็นโรงพยาบาลสนามและศูนย์พักคอย ได้รับการสนับสนุนเตียงกระดาษจากบริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จํากัด (มหาชน) และได้รับการสนับสนุนอุปกรณ์เครื่องใช้ภายในโรงพยาบาลสนาม เช่น ที่นอน ผ้าห่ม พัดลมตั้งโต๊ะ และอาหารว่าง จากโรงงานภายในนิคมอุตสาหกรรมอมตะกว่า 100 โรงงาน
ในปี 2564 โรงพยาบาลสนามมาบยางพร นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ระยอง และศูนย์พักคอย นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ชลบุรี สามารถรองรับผู้ป่วยได้ทั้งสิ้น 600 เตียง ได้เริ่มดำเนินการตั้งวันที่ 4 สิงหาคม 2564 มีผู้ป่วยที่เข้ารับการดูแลรวมทั้งสิ้น 1,828 คน
นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ชลบุรี เป็นพื้นที่ที่ได้รับการจัดสรรวัคซีนป้องกันโรค COVID-19 ของผู้ประกันตนมาตรา 33 โดยกระทรวงแรงงาน โดยบริษัทฯ ได้สนับสนุนพื้นที่ในอาคารอมตะ คาสเซิล เพื่อเป็นศูนย์ฉีดวัคซีนระหว่างเดือนกรกฎาคม ถึงเดือนตุลาคม 2564 รวมจำนวนทั้งสิ้น 4 เดือน และได้รับการสนับสนุนบุคคลากรทางการแพทย์ในการดำเนินการฉีดวัคซีนให้กับผู้ประกันตนมาตรา 33 จากโรงพยาบาลวิภารามอมตะนคร ซึ่งสามารถดำเนินการฉีดวัคซีนเข็มที่ 1 และเข็มที่ 2 จำนวนทั้งสิ้น 95,381 โดส มีพนักงานภายในนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ชลบุรี ที่เข้ารับการฉีดวัคซีนรวมทั้งสิ้น 48,518 ราย ส่วนนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ระยอง ได้รับการจัดสรรวัคซีนจากโควตาพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) จากกระทรวงแรงงานจำนวน 4,633 โดส และมีผู้ที่ได้รับวัคซีนจากโครงการนี้จำนวน 1,655 ราย
การแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ที่เกิดขึ้น มีผลกระทบต่อเนื่องต่อสภาพเศรษฐกิจของชุมชนโดยรอบ เนื่องจากแรงงานท้องถิ่นบางส่วนได้รับผลกระทบ เช่น ต้องหยุดงาน หรือถูกเลิกจ้าง ทำให้ขาดรายได้ในช่วงเวลาดังกล่าว บริษัทฯ จึงได้จัดทำ โครงการ “AMATA Fights COVID-19” เพื่อบรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้นในชุมชนแบบเร่งด่วน ด้วยการมอบถุงยังชีพซึ่งประกอบไปด้วยข้าวสาร 5 กิโลกรัม ไข่ไก่ ยาสามัญประจำบ้าน และอาหารแห้งให้กับกลุ่มเป้าหมายที่ได้รับผลกระทบ ด้วยการแจกถุงยังชีพโดยตรงให้กับแรงงานที่ตกงาน และประชาชนที่มีรายได้น้อย ผู้พิการในชุมชน หรือผู้ป่วยติดเตียง
จากกิจกรรมที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้สนับสนุนสินค้าจากชุมชนใกล้เคียงเพื่อนำมาจัดเป็นถุงยังชีพจำนวนรวมทั้งสิ้น 15,810 ถุง มูลค่ากว่า 2.4 ล้านบาท โดยบริษัทฯ ได้ทำการมอบถุงยังชีพกับประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤต COVID-19 ได้แก่ ผู้สูงอายุ ผู้พิการ และผู้ป่วยติดเตียง และมีประชาชนที่ได้รับประโยชน์รวมทั้งสิ้น 47,430 คน
บริษัทฯ ได้สนับสนุนบุคลากรทางการแพทย์ให้สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างปลอดภัย เนื่องจากบุคลากรทางการแพทย์เป็นบุคคลสำคัญในการรับมือ และดูแลผู้ป่วยจากการติดเชื้อโดยตรง โดยในช่วงที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้สนับสนุนอุปกรณ์ป้องกันตนเอง ได้แก่ หน้ากากอนามัย Face Shield และ แอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อ ให้กับหน่วยงานทางด้านสาธารณสุขและสนับสนุนยาฟ้าทะลายโจนให้กับศูนย์พักคอยและโรงพยาบาลสนามในชุมชน จำนวน 29 แห่ง มูลค่า 3.8 แสนบาท นอกจากนี้บริษัทฯ ยังได้ประสานความร่วมมือลูกค้าผู้ประกอบการในนิคมอุตสาหกรรมอมตะ จำนวน 35 ราย เพื่อร่วมกันสนับสนุนอุปกรณ์ป้องกันตนเองให้กับบุคลากรทางการแพทย์อีกด้วย
ส่งเสริมการเรียนรู้
บริษัทฯ และผู้มีส่วนได้เสียให้ความสำคัญในเรื่องการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เป็นอย่างมาก เนื่องจากภาคอุตสาหกรรมมีความต้องการบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถ และแรงงานที่มีทักษะเพิ่มมากขึ้นในปัจจุบัน ตามการพัฒนาของเทคโนโลยีในกระบวนการผลิต และตอบสนองความต้องการของภาคอุตสาหกรรมที่จะเข้ามาลงทุนในโครงการ EEC ในอนาคต บริษัทฯ จึงได้พัฒนา และดำเนินโครงการด้านการศึกษาต่าง ๆ เพื่อช่วยยกระดับขีดความสามารถของบุคลากรในโรงงานและแรงงานท้องถิ่น โดยเปิดโอกาสให้ทุกคนได้เข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพอย่างทั่วถึงและส่งเสริมการเรียนรู้อย่างไม่หยุดนิ่ง
โครงการพัฒนาพื้นที่เรียนรู้ (Brain Based Learning) ภายในโรงเรียน
บริษัทฯ ร่วมกับการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และชมรมอมตะจิตอาสา อมตะซิตี้ ระยอง (Amata CSR Volunteer Club) จัดโครงการพัฒนาพื้นที่เรียนรู้ภายใน โรงเรียนบ้านมาบยางพร ต.มาบยางพร อ.ปลวกแดง จ.ระยอง ซึ่งมีจำนวนนักเรียนทั้งสิ้น 1,572 คน เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้นอกห้องเรียน ด้วยการวาดภาพ BBL หรือ Brain Based Learning บนพื้นที่กว่า 440 ตารางเมตร
บริษัทฯ ให้ความสำคัญกับการสนับสนุน และการมีส่วนร่วมกับกิจกรรมทางวัฒนธรรมและประเพณีท้องถิ่นของชุมชน เพื่อสืบสานประเพณีที่ดีงาม และสร้างความสัมพันธ์และทัศนคติที่ดีกับชุมชน โดยบริษัทฯ ร่วมกับการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย บริษัทผู้ประกอบการในนิคมอุตสาหกรรมอมตะทั้งสองแห่ง และชุมชนโดยรอบนิคมอุตสาหกรรมอมตะทั้งสองแห่ง เข้าร่วมและสนับสนุนกิจกรรมทางวัฒนธรรมและประเพณีท้องถิ่นของชุมชน อย่างต่อเนื่อง
ในปี 2564 ผู้บริหาร และพนักงานของบริษัทฯ เข้าร่วมกิจกรรมทอดกฐินสามัคคี วัดมาบสามเกลียว จ.ชลบุรี และร่วมออกบูธกิจกรรมประเพณีสงกราณต์และวันผู้สูงอายุของ อบต. มอบของที่ระลึกและของอุปโภคบริโภค มอบให้กับผู้สูงอายุของตำบลเขาไม้แก้ว อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี ตำบลปลวกแดง
การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยได้ทำการสำรวจความพึงพอใจของชุมชนที่มีต่อนิคมอุตสาหกรรมทั่วประเทศ จำนวน 33 แห่ง เป็นประจำทุกปี และได้ร่วมกับบริษัทฯ ดำเนินการสำรวจความพึงพอใจของชุมชนรอบนิคมอุตสาหกรรมอมตะทั้งสองแห่ง ในปี 2564 นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ชลบุรีได้รับคะแนนความพึงพอใจเฉลี่ย ที่คะแนน 91% และนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ระยอง ได้รับคะแนนความพึงพอใจเฉลี่ยที่คะแนน 85.2%
นอกจากนี้ คณะทำงานชุมชนสัมพันธ์และกิจกรรมความรับผิดชอบเพื่อสังคมของบริษัทฯ ได้ทำการสำรวจความพึงพอใจของชุมชนโดยรอบนิคมอุตสาหกรรมอมตะทั้งสองแห่ง ร่วมกับคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีปทุม วิทยาเขตชลบุรี เพื่อศึกษาข้อมูลความพึงพอใจของชุมชนที่มีต่อโครงการพัฒนาชุมชนด้านต่าง ๆ ของบริษัทฯ ในเชิงลึกรวมถึงศึกษาความต้องการและความคาดหวังของชุมชนให้ชัดเจนยิ่งขึ้น โดยตั้งเป้าหมายความพึงพอใจของชุมชนที่มีต่อโครงการพัฒนาชุมชนด้านต่าง ๆ ของบริษัทฯ ต้องมากกว่า 85% โดยผลการสำรวจพบว่านิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ชลบุรี ได้รับคะแนนความพึงพอใจเฉลี่ยที่คะแนน 93% และนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ระยอง ได้รับคะแนนความพึงพอใจเฉลี่ยที่คะแนน 89.6%
บริษัทฯ ได้นำข้อเสนอแนะจากการประเมินความพึงพอใจของชุมชนโดยรอบนิคมอุตสาหกรรมอมตะทั้งสองแห่ง มาวิเคราะห์ และวางแผนการดำเนินกิจกรรมเพื่อสนับสนุน และพัฒนาชุมชนในปีถัดไป นอกจากนี้ คณะทำงานชุมชนสัมพันธ์และความรับผิดชอบเพื่อสังคม ได้ลงพื้นที่เพื่อสัมภาษณ์เชิงลึก ถึงประเด็นปัญหา และความคาดหวังของชุมชนต่อบริษัทฯ เพื่อนำมาเป็นข้อมูลพื้นฐานในการดำเนินกิจกรรมต่อไปในอนาคต
+84 251 3991 007 (South)
+84 203 3567 007 (North)
+85 620 5758 0007
© AMATA CORPORATION PCL. All rights reserved. Web by Toneyes