การเติบโตของนิคมอุตสาหกรรมย่อมนำมาซึ่งผลกระทบทั้งเชิงบวกและเชิงลบต่อสังคมและชุมชนท้องถิ่น ทั้งด้านเศรษฐกิจ ด้านสิ่งแวดล้อม ด้านความปลอดภัย ที่มีผลโดยตรงต่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตของคนในชุมชนท้องถิ่น หากชุมชนโดยรอบนิคมอุตสาหกรรมไม่ได้รับการดูแลและป้องกันผลกระทบเชิงลบที่ได้รับจากการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ อาจเกิดความเสี่ยงที่จะสูญเสียความสัมพันธ์อันดีระหว่างกัน ส่งผลให้เกิดความขัดแย้งกับชุมชนและการต่อต้านจากชุมชนในการขยายธุรกิจของบริษัทฯ ในอนาคต ตลอดจนกระทบต่อความเชื่อมั่นและการตัดสินใจของนักลงทุนได้
การพัฒนาชุมชนในมิติต่างๆ บริษัทฯ มุ่งหวังให้ชุมชนมีความปลอดภัยและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นจากการเข้าถึงบริการขั้นพื้นฐานที่มีคุณภาพอย่างเพียงพอ ซึ่งจะช่วยให้เกิดการยอมรับจากชุมชน (Social License to Operate) รวมถึงสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม ส่งผลให้บริษัทฯ ดำเนินธุรกิจต่อไปได้อย่างราบรื่น การดำเนินโครงการพัฒนาชุมชนและสังคมเพื่อช่วยส่งเสริมด้านการศึกษา จะทำให้เกิดการพัฒนาคุณภาพแรงงานท้องถิ่นที่เพื่อสนองตอบความต้องการใช้แรงงานมีฝีมือของลูกค้าได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะช่วยสร้างงานสร้างอาชีพให้แก่คนในชุมชนและช่วยพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่นให้ดีขึ้นอีกทางหนึ่ง และช่วยสนับสนุนการเติบโตของลูกค้าของบริษัทฯ ในระยะยาว
จากปรัชญา “ALL WIN” ที่บริษัทฯ ได้ยึดถือเป็นหลักในการดำเนินธุรกิจมาโดยตลอด และมีเป้าหมายในการสร้างการเติบโตทางธุรกิจควบคู่ไปกับการพัฒนาชุมชนและสังคมอย่างยั่งยืน บริษัทฯ จึงได้กำหนดกลยุทธ์หลักด้านความยั่งยืนที่เชื่อมโยงกับการพัฒนาชุมชนและสังคมในด้านต่าง ๆ และมุ่งเน้นที่ความร่วมมือระหว่างบริษัทฯ ชุมชน ลูกค้าในนิคมอุตสาหกรรมและหน่วยงานภาครัฐ ในการขับเคลื่อนโครงการพัฒนาชุมชน นอกจากนี้บริษัทฯ ได้นำเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ (UN Sustainable Development Goals: SDGs) มาใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาชุมชนด้วย
บริษัทฯ ได้กำหนดแนวทางการดำเนินงานเกี่ยวกับการพัฒนาชุมชน โดยมุ่งเน้นการสร้างความสัมพันธ์อันดีกับชุมชนท้องถิ่นซึ่งเป็นหนึ่งในผู้มีส่วนได้เสียหลัก เพื่อสร้างความเข้าใจและความเชื่อมั่นในการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ และเปิดโอกาสให้ประชากรในชุมชนและผู้มีส่วนได้เสียอื่นในสังคมสามารถเข้าถึงบริการที่บริษัทฯดำเนินการ นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมุ่งเน้นการสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างผู้มีส่วนได้เสียอื่นของบริษัท ฯ เช่น ลูกค้า คู่ค้า และหน่วยงานหลายภาคส่วนในการร่วมกันพัฒนาชุมชนและสังคมส่วนรวม
บริษัทฯ ได้จัดตั้งคณะทำงานชุมชนสัมพันธ์และความรับผิดชอบเพื่อสังคม ตั้งแต่ปี 2557 เพื่อขับเคลื่อนโครงการภายใต้เป้าหมายด้านการพัฒนาที่ยั่งยืนของบริษัทที่เชื่อมโยงกับการพัฒนาชุมชนและสังคม ดูแลและติดตามโครงการพัฒนาชุมชนให้มีประสิทธิภาพ บริษัทฯ ได้ทำการสำรวจปัญหา ความต้องการ และความคาดหวังของชุมชนท้องถิ่นผ่านกระบวนการสร้างความสัมพันธ์กับกลุ่มผู้มีส่วนได้เสีย (stakeholder engagement process) และนำประเด็นสำคัญด้านความยั่งยืนมาพัฒนาเป็นกลยุทธ์และเป้าหมายการดำเนินกิจกรรมของบริษัทฯ โดยบริษัทฯ ได้กำหนดแนวทางในการบริหารจัดการผลกระทบทางสังคม และการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีของคนในชุมชน ดังนี้
ปัจจุบันการพัฒนาพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมอมตะทั้งสองแห่งในประเทศไทยของบริษัทฯ นั้นมีพื้นที่กว่า 73 ตารางกิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่ 3 จังหวัด คือจังหวัดชลบุรี จังหวัดฉะเชิงเทรา และจังหวัดระยอง มีจำนวนพนักงานที่ทำงานในนิคมและประชากรอาศัยอยู่ในชุมชนรอบนิคมอุตสาหกรรมรวมทั้งหมดกว่า 1.2 ล้านคน การขยายตัวของนิคมอุตสาหกรรมส่งผลกระทบต่อชุมชนและสังคมโดยรอบ เช่น ความแออัดของประชากรและการสัญจร การขยายตัวของชุมชนเมืองที่เกิดจากการเข้ามาของแรงงานต่างถิ่น ความปลอดภัยทางถนน เป็นต้น ผู้ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ คือชุมชนท้องถิ่นที่อยู่โดยรอบ บริษัทฯจึงได้ให้ความสำคัญกับการดูแลชุมชนท้องถิ่นในพื้นที่รัศมี 5 กิโลเมตรจากนิคมอุตสาหกรรมอมตะ
นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ชลบุรี มีพื้นที่ที่ดำเนินกิจการอยู่ในปัจจุบันกว่า 44.4 ตารางกิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่ 5 อำเภอ 24 ตำบล ในจังหวัดชลบุรีและฉะเชิงเทรา มีชุมชนโดยรอบนิคมอุตสาหกรรมในระยะ 5 กิโลเมตรจากขอบพื้นที่โครงการ จำนวน 212 หมู่บ้าน บนพื้นที่กว่า 260 ตารางกิโลเมตร มีประชากรตามทะเบียนบ้านในชุมชนโดยรอบ ประมาณ 315,689 คน แต่มีประชากรทั้งหมดรวมประชากรแฝงซึ่งย้ายถิ่นที่อยู่อาศัยมาเพื่อทำงานในพื้นที่นี้จำนวน 686,876 คน (ที่มา: กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย รายงานสถิติจำนวนประชากรและบ้าน ประจำปี 2565) โดยจำนวนพนักงานที่ทำงานในโรงงานอุตสาหกรรมต่าง ๆ ในนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ชลบุรี ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2565 มีจำนวนกว่า 210,000 คน
นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ระยอง มีพื้นที่ที่ดำเนินกิจการอยู่ในปัจจุบันกว่า 28.6 ตารางกิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่ 4 อำเภอ 6 ตำบล ในจังหวัดชลบุรีและระยอง มีชุมชนโดยรอบนิคมอุตสาหกรรมในระยะ 5 กิโลเมตรจากขอบพื้นที่โครงการ มีจำนวน 20 หมู่บ้าน มีประชากรตามทะเบียนบ้านในชุมชนโดยรอบ ประมาณ 86,119 คน แต่มีประชากรทั้งหมดรวมประชากรแฝงซึ่งย้ายถิ่นที่อยู่อาศัยมาเพื่อทำงานในพื้นที่นี้จำนวน 145,988 คน (ที่มา: กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ระบบสถิติทางการทะเบียน ประจำปี 2565) โดยจำนวนพนักงานที่ทำงานในโรงงานอุตสาหกรรมต่าง ๆ ในนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ระยอง ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2565 มีจำนวนกว่า 82,000 คน
บริษัทฯ มุ่งมั่นในการสร้างกระบวนการการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้เสียที่อยู่ภายในและโดยรอบนิคมอุตสาหกรรมอมตะในรูปแบบต่างๆ เพื่อเปิดโอกาสให้ชุมชนท้องถิ่นได้สื่อสารถึงความกังวลใจ ปัญหาผลกระทบที่ได้รับ และความต้องการของชุมชนในการร่วมกันพัฒนาพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมของอมตะให้เป็นเมืองสมบูรณ์แบบ ที่ชุมชนท้องถิ่นโดยรอบสามารถอยู่ร่วมกับนิคมอุตสาหกรรมได้อย่างมีความสุขและสร้างคุณค่าร่วมกัน
บริษัทฯ ได้จัดตั้งคณะกรรมการชุมชนชุดต่าง ๆ เพื่อเป็นช่องทางในการรับฟังปัญหา ความคาดหวัง และข้อเสนอแนะจากชุมชนเพื่อการปรับปรุงที่ดีขึ้น ตลอดจนให้ข้อเท็จจริง และแก้ไขข้อร้องเรียนอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อทำให้ผู้มีส่วนได้เสียสำคัญของบริษัทฯ ได้แก่ ชุมชนและหน่วยงานราชการที่ทำหน้าที่กำกับดูแลบริษัทฯ เกิดความเข้าใจในการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ เป็นการสร้างความเชื่อมั่น ความไว้วางใจ และความผูกพันให้เกิดขึ้นระหว่างกัน
คณะกรรมการชุดต่าง ๆ ประกอบด้วย คณะกรรมการไตรภาคี หรือคณะกรรมการที่มีโครงสร้างของกรรมการมาจากตัวแทนของ ชุมชน หน่วยงานราชการ และบริษัทฯ, คณะกรรมการพัฒนาชุมชนโดยรอบนิคมอุตสาหกรรม Eco-Green Network เป็นต้น โดยแต่ละคณะกรรมการจะมีบทบาทหน้าที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาชุมชนที่อยู่โดยรอบนิคมอุตสาหกรรมทั้งสองแห่งของบริษัทฯ และการเสนอแนะประเด็นที่เป็นกังวลของชุมชน หรือข้อร้องเรียนที่มีต่อการประกอบกิจการของบริษัทฯ
Committee | Objectives | 2022 Performance |
---|---|---|
คณะกรรมการพัฒนาชุมชนโดยรอบนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ชลบุรี ประกอบด้วยกรรมการผู้แทนภาคประชาชน กรรมการผู้แทนภาคราชการ และกรรมการผู้แทนภาคโครงการ จำนวน 97 คน
คณะกรรมการพัฒนาชุมชนโดยรอบนิคมอุตสาหกรรมอมตะ ซิตี้ ระยอง ประกอบด้วยกรรมการผู้แทนภาคประชาชน กรรมการผู้แทนภาคราชการ และกรรมการผู้แทนภาคโครงการ จำนวน 29 คน |
|
|
Eco-Green Network: คณะทำงานประกอบด้วยตัวแทนจากบริษัทฯ ผู้ประกอบการในนิคม ชุมชนท้องถิ่น หน่วยงานราชการท้องถิ่น โรงพยาบาล และโรงเรียน |
|
|
การประเมินผลกระทบทางสังคม เป็นหนึ่งในกระบวนการประเมินผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม (Environmental Impact Assessment; EIA) โดยการประเมินผลกระทบทางสังคม บริษัทฯ ใช้วิธีการวิเคราะห์ผู้มีส่วนได้เสียตลอดห่วงโซ่อุปทาน (Stakeholder Analysis) เพื่อวิเคราะห์กิจกรรมทางธุรกิจที่ส่งผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อผู้มีส่วนได้เสีย ประกอบกับการสำรวจทัศนคติชุมชน ซึ่งบริษัทฯ ได้ดำเนินการเป็นประจำทุกปีตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมในช่วงระหว่างการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ
จากผลการสำรวจทัศนคติของชุมชนและความคาดหวังจากคณะกรรมการชุมชนชุดต่าง ๆ ในปี 2565 สามารถสรุปผลกระทบทางสังคมที่เกิดขึ้นได้เป็น 2 ประเด็น คือ 1) ปัญหาการจราจร และ 2) ปัญหาด้านเศรษฐกิจชุมชน นอกจากนี้ ชุมชนมีความคาดหวังในเรื่องการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม ได้แก่ การจัดการน้ำเสีย ด้วย
บริษัทฯ ได้กำหนดกลยุทธ์การพัฒนาชุมชนและรูปแบบกิจกรรมต่างๆให้สอดคล้องกับความต้องการและความคาดหวังของผู้มีส่วนได้เสียแต่ละกลุ่มอย่างเหมาะสม โดยร่วมมือกันระหว่างบริษัทฯ ลูกค้าผู้ประกอบการในนิคม ภาครัฐ หน่วยงานท้องถิ่น และชุมชน ภายใต้กรอบการพัฒนาชุมชน 5 ด้าน ที่สนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนของสหประชาชาติ (UN Sustainable Development Goals: UN SDGs) อีกทางหนึ่งด้วย โดยกำหนดเป้าหมายของการพัฒนาชุมชนในปี 2565 ที่คะแนนความพึงพอใจของชุมชนที่มีต่ออมตะ ไม่น้อยกว่า 85%
ในปี 2565 บริษัทฯ ได้ดำเนินกิจกรรมและโครงการจำนวนทั้งสิ้น 34 โครงการ โดยใช้งบประมาณในการลงทุนทางสังคม (ไม่รวมเงินบริจาค) รวม 3.8 ล้านบาท มีผู้เข้าร่วมกิจกรรมทั้งสิ้น 31,800 คน และผู้ที่ได้รับประโยชน์ทั้งทางตรง และทางอ้อมจากกิจกรรมและโครงการที่บริษัทฯ ดำเนินการจำนวนกว่า 1.23 ล้านคน
การเติบโตของนิคมอุตสาหกรรมนั้นส่งผลกระทบทั้งเชิงบวกและเชิงลบต่อระบบเศรษฐกิจของชุมชนท้องถิ่น เช่น การกระจายรายได้ การเพิ่มขึ้นของความต้องการแรงงาน หรือ การเกิดขึ้นของความต้องการสินค้าหรือบริการ ในขณะที่การเติบโตของเมืองทำให้ค่าครองชีพของชุมชนสูงขึ้น บริษัทฯ จึงให้ความสำคัญต่อการพัฒนาชุมชนท้องถิ่นให้เติบโตไปพร้อมกับการเติบโตของบริษัทฯ โดยใช้กลยุทธ์ในการสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจให้กับผู้มีส่วนได้เสียในชุมชนทุกกลุ่ม เช่น ผู้ประกอบการท้องถิ่น กลุ่มวัยแรงงาน กลุ่มผู้สูงอายุ และกลุ่มผู้ด้อยโอกาสทางสังคม โดยสนับสนุนการจ้างงานในท้องถิ่น และพัฒนาโครงการเพื่อตอบสนองความต้องการ และพัฒนากลุ่มผู้มีส่วนได้เสียในชุมชนดังกล่าว ให้สามารถสร้างอาชีพ สร้างรายได้ และพึ่งพิงตัวเองได้อย่างยั่งยืน
จากผลการสำรวจชุมชนท้องถิ่นของบริษัทฯ พบว่า ชุมชนมีผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร และสินค้าแปรรูปจำนวนมากที่ต้องการเพิ่มช่องทางการตลาด บริษัทฯ มองเห็นว่าโรงงานจำนวนมากในนิคมอุตสาหกรรม และพนักงานที่ทำงานในโรงงานเป็นตลาดใหญ่ที่มีความต้องการผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรจำนวนมาก ดังนั้น บริษัทฯ จึงได้จัดโครงการ “Farm to Factory” ขึ้น โดยมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมมีการซื้อขายระหว่างโรงงานในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมอมตะทั้งสองแห่งกับชุมชนท้องถิ่น เป็นการสนับสนุนให้ชุมชนท้องถิ่นได้มีโอกาสขายสินค้าได้ในระยะยาวโดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรและสินค้าแปรรูป สามารถสร้างเศรษฐกิจท้องถิ่นให้เติบโตได้อย่างยั่งยืน และผู้ซื้อได้รับสินค้าที่สดใหม่และมีคุณภาพจากผู้ผลิตโดยตรง
บริษัทฯ ได้เริ่มต้นทำโครงการ Farm to Factory ร่วมกับการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยในปี 2561 โดยใช้นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ชลบุรี เป็นพื้นที่นำร่อง เพื่อให้กลุ่มวิสาหกิจชุมชนที่อยู่ในชุมชนเป้าหมายโดยรอบพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ชลบุรี ที่ผลิตและพัฒนาสินค้าของชุมชน ได้มีช่องทางในการจัดจำหน่ายสินค้า และสร้างรายได้ให้กับสมาชิกของกลุ่มฯ ทั้งนี้ บริษัทฯ ทำหน้าที่เป็นตัวกลางระหว่างชุมชนท้องถิ่นกับโรงงานในนิคมอุตสาหกรรมในการซื้อขายผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร โดยบริษัทฯ และการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยได้เข้าไปช่วยยกระดับมาตรฐานสินค้าให้ตรงตามความต้องการของผู้ซื้อด้วย บริษัทฯ
ในปี 2565 มีโรงงานในนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ชลบุรี เข้าร่วมโครงการ “Farm to Factory” จำนวน 40 โรงงาน และ ชุมชนท้องถิ่นจากจังหวัดฉะเชิงเทราและชลบุรีจำนวน 18 ชุมชน เข้าไปจำหน่ายสินค้าให้กับโรงงานเฉลี่ยอยู่ที่ 8 ครั้ง/เดือน และมีเงินรายได้จากการจำหน่ายสินค้าในปี 2565 จำนวนรวม 6.89 ล้านบาท คิดเป็นรายได้เฉลี่ย 380,000 บาทต่อชุมชนต่อปี
บริษัทฯ ได้จัดกิจกรรม “อมตะชวนช้อปของดีเพื่อนบ้านชุมชน” เพื่อเปิดพื้นที่ให้ชุมชนนำสินค้ามาวางจำหน่ายโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย รวมทั้งหมด 4 ครั้ง
บริษัทฯ ยังได้พัฒนาช่องทางการขายสินค้าออนไลน์ของชุมชนบนเว็บไซต์ https://amatachuanshop.com/ เพื่อเพิ่มช่องทางการขายให้กับสินค้าชุมชนให้เข้าถึงผู้ซื้อได้มากยิ่งขึ้น ซึ่งปัจจุบันมีสินค้าจากชุมชนทั้งอมตะซิตี้ ชลบุรี และอมตะซิตี้ ระยอง จำนวนกว่า 30 รายการ บนเว็บไซต์ดังกล่าว
นอกจากบริษัทฯ จะให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการน้ำและขยะที่เกิดขึ้นภายในนิคมฯ แล้ว บริษัทฯ ยังตระหนักถึงการดูแลชุมชนโดยรอบนิคมอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากการดำเนินงานของบริษัทฯ ด้วย เนื่องจากการขยายธุรกิจของบริษัทฯ ส่งผลให้มีประชากรอยู่อาศัยกันอย่างหนาแน่นในชุมชนโดยรอบนิคมอุตสาหกรรม บริษัทฯ จึงได้จัดทำโครงการชุมชนต้นแบบด้านการจัดการน้ำและขยะอย่างยั่งยืนขึ้นในปี 2560 โดยใช้ความชำนาญและประสบการณ์ในการบริหารจัดการน้ำและขยะของบริษัทฯ ในการพัฒนาชุมชนต้นแบบ ให้ประชาชนในชุมชนเกิดความรู้และความเข้าใจในการกำจัดขยะมูลฝอยอย่างถูกวิธีและสามารถคัดแยกขยะตามหลัก 3Rs เพื่อนำขยะไปใช้ประโยชน์อย่างคุ้มค่าและสร้างมูลค่าเพิ่มตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน ช่วยลดผลกระทบต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะลดผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อแหล่งน้ำชุมชน จากการทิ้งขยะและปล่อยน้ำเสียครัวเรือนลงในแหล่งน้ำ บริษัทฯ ได้รับความร่วมมือจากหลายหน่วยงานในการดำเนินโครงการ อาทิ เทศบาลหนองไม้แดง ผู้ประกอบการตลาดนินจา ผู้ประกอบการตลาดนัดกำนันดำ โรงเรียนบ้านห้วยสาลิกา โรงเรียนอนุบาลวัดอู่ตะเภา เทศบาลตำบลคลองตำหรุ เป็นต้น
ในปี 2565 บริษัทฯ ได้เข้าไปให้ความรู้ด้านการจัดการขยะในชุมชนแก่ เจ้าหน้าที่และอาสาสมัครเทศบาลตำบลคลองตำหรุ เจ้าหน้าที่และอาสาสมัครชุมชนเทศบาลตำบลหนองไม้แดง และอบรมให้ความรู้กับครูและนักเรียนโรงเรียนอนุบาลวัดอู่ตะเภา ต.หนองไม้แดง เพื่อให้ประชาชนในชุมชนเกิดความเข้าใจในการกำจัดขยะมูลฝอยอย่างถูกวิธีและสามารถคัดแยกขยะตามหลัก 3Rs ได้อย่างถูกต้อง ช่วยลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านขยะให้แก่ชุมชน
การดำเนินงานอย่างต่อเนื่องในโครงการชุมชนต้นแบบด้านการจัดการน้ำและขยะอย่างยั่งยืนส่งผลให้ผลการตรวจวัดค่า BOD ของแหล่งน้ำในชุมชนที่ดำเนินโครงการ ณ จุดวัดคุณภาพน้ำบริเวณประตูระบายน้ำคลองตำหรุในปี 2565 มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 6.2 mg/L ซึ่งลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2560 บรรลุเป้าหมายที่บริษัทฯ กำหนดไว้ให้คุณภาพของน้ำจากแหล่งน้ำชุมชนมีค่า BOD (Biochemical Oxygen Demand)ไม่เกิน 10 mg/L ซึ่งเป็นค่าที่ดีกว่าค่ามาตรฐานของกรมควบคุมมลพิษที่กำหนดไว้ที่ไม่เกิน 20 mg/L
มูลนิธิอมตะได้ดำเนินโครงการอุทยานพี่อุทยานน้องร่วมแบ่งปันทรัพยากรและองค์ความรู้ (Sister Parks Arrangement for Resources and Knowledge Sharing: SPARK) ร่วมกับกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช และองค์กร International Conservation Caucus Foundation (ICCF) ประเทศสหรัฐอเมริกา อย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2556 เพื่อช่วยยกระดับอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่สู่มาตรฐานอุทยานระดับโลก และใช้เป็นอุทยานฯ นำร่องเพื่อเป็นต้นแบบการเรียนรู้ด้านการบริหารจัดการแก่อุทยานแห่งชาติอื่น ๆ ในประเทศไทยและในภูมิภาคอาเซียน
จากผลการศึกษาของผู้เชี่ยวชาญจาก ICCF เมื่อปี 2558 พบว่ามีประเด็นเร่งด่วนประเด็นหนึ่งที่ควรต้องเร่งดำเนินการในทันที ได้แก่ การจัดการน้ำเสีย เพื่อให้มั่นใจว่าคุณภาพน้ำในแหล่งน้ำทั้งภายในและภายนอกอุทยานจะไม่ได้รับผลกระทบเชิงลบจากการใช้น้ำของนักท่องเที่ยวและเจ้าหน้าที่อุทยาน เนื่องจากผืนป่าดงพญาเย็น-เขาใหญ่เป็นแหล่งต้นน้ำที่สำคัญของไทย ซึ่งไหลลงสู่แม่น้ำสายหลักทั้ง 5 ของประเทศ ได้แก่ แม่น้ำนครนายก แม่น้ำปราจีนบุรี แม่น้ำลำตะคอง แม่น้ำมวกเหล็ก และแม่น้ำมูล การจัดการน้ำเสียในอุทยานแห่งชาติจึงเป็นเรื่องที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง
มูลนิธิอมตะและบริษัท อมตะ วอเตอร์ จำกัด ซึ่งมีความรู้ความชำนาญในด้านการบริหารจัดการน้ำ ร่วมกับพันธมิตรคู่ค้าของบริษัทฯ ผู้เชี่ยวชาญจาก ICCF และเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ จึงได้เข้าไปช่วยพัฒนาการจัดการน้ำเสียบนอุทยานฯ โดยมีการดำเนินงานในปี 2565 ดังนี้
นิคมอุตสาหกรรมอมตะทั้งสองแห่ง มีพนักงานที่ทำงานภายในพื้นที่กว่า 260,000 คน จากผลการสำรวจข้อมูลการใช้รถใช้ถนนภายในนิคมอุตสาหกรรมอมตะ พบว่ามียานพาหนะที่ใช้เส้นทางสัญจรภายในพื้นที่กว่า 116,800 คันต่อวัน จำแนกเป็นรถโดยสารรับ-ส่งพนักงาน จำนวน 1,800 คัน รถยนต์โดยสารส่วนบุคคลจำนวน 48,000 คัน และรถจักรยานยนต์จำนวน 67,000 คัน ส่งผลให้เกิดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุทางท้องถนนค่อนข้างสูง บริษัทฯ จึงได้มีการบริหารจัดการจราจรอย่างเข้มงวด และจัดให้มีแผนบริหารจัดการความปลอดภัยทางท้องถนนที่มีการบูรณาการทุกภาคส่วนในการร่วมกันบริหารจัดการจราจรภายในนิคมอุตสาหกรรมอมตะและพื้นที่ต่อเนื่อง ตามแนวทาง ‘6E Concept’ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่หัวข้อ การสร้างสังคมแห่งความปลอดภัย
บริษัทฯ ได้นำข้อมูลสถิติการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน เช่น สาเหตุ และรูปแบบของการเกิดอุบัติเหตุ มาวิเคราะห์เพื่อใช้ในกระบวนการบริหารจัดการ และแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นจากโครงสร้างของถนนและรูปแบบของช่องทางเดินรถ และรณรงค์สร้างความตระหนักในการปฏิบัติตามกฎหมายจราจร การสวมหมวกนิรภัย การคาดเข็มขัดนิรภัย การขับขี่ตามกฎหมายจราจร และน้ำใจบนท้องถนน โดยดำเนินการเชิงรุก ในการสร้างความตระหนักในด้านความปลอดภัยทางท้องถนนทั้งในนิคมอุตสาหกรรมและในชุมชนและโรงเรียนในพื้นที่ใกล้เคียง
ในปี 2565 บริษัทฯ ได้จัดการอบรมด้านวินัยจราจรร่วมกับการอบรมดับเพลิงเบื้องต้นและซ้อมอพยพหนีไฟ ให้กับ นักเรียนในโรงเรียนเทศบาลมาบสามเกลียว 1 ตำบลดอนหัวฬ่อ อำเภอเมือง จังหวัดชลบุรี
นิคมอุตสาหกรรมอมตะทั้งสองแห่ง เป็นนิคมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่มีพนักงานทำงานอยู่ภายในจำนวนมาก ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ และมีประชาชนในชุมชนโดยรอบจำนวนรวมกันกว่า 500,000 คน จึงเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพสูงในการรับบริจาคโลหิตเพื่อเป็นแหล่งโลหิตสำรองให้กับสภากาชาดไทย บริษัทฯ จึงร่วมมือกับภาคบริการโลหิตแห่งชาติที่ 3 จังหวัดชลบุรี เหล่ากาชาดจังหวัดระยอง และการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย รณรงค์และเชิญชวนพนักงานบริษัทในกลุ่มอมตะ และพนักงานของสถานประกอบการในนิคมอุตสาหกรรมอมตะทั้งสองแห่ง ร่วมกันบริจาคโลหิต
บริษัทฯ มีเป้าหมายในการรับบริจาคโลหิตเพื่อสนับสนุนโลหิตให้กับสภากาชาดไทยไม่ต่ำกว่าปีละ 1 ล้านซีซี โดยจัดกิจกรรมบริจาคโลหิตในโรงงานเป็นประจำทุกปี ในปี 2565 นับเป็นปีที่ 11 ที่บริษัทฯ ได้ดำเนินกิจกรรมบริจาคโลหิตในโรงงาน นอกจากนี้บริษัทฯ ได้รณรงค์การบริจาคโลหิต ณ ศูนย์รับบริจาคโลหิตในนิคมอมตะซิตี้ ชลบุรี และรถรับบริจาคโลหิตของสภากาชาดไทย มีพนักงานของบริษัทฯ และพนักงานของโรงงานต่าง ๆ จากทั้งสองนิคมอุตสาหกรรมเข้าร่วมในกิจกรรมบริจาคโลหิต ได้โลหิตจากการบริจาคทั้งหมดในปี 2565 รวมทั้งสิ้น 2.99 ล้านซีซี โดยมีปริมาณโลหิตที่ได้รับบริจาคสะสมตลอด 11 ปี เป็นจำนวนกว่า 21 ล้านซีซี สามารถนำไปช่วยเหลือผู้ป่วยได้กว่า 148,742 คน
บริษัทฯ และผู้มีส่วนได้เสียให้ความสำคัญในเรื่องการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เป็นอย่างมาก เนื่องจากภาคอุตสาหกรรมมีความต้องการบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถ และแรงงานที่มีทักษะเพิ่มมากขึ้นในปัจจุบัน ตามการพัฒนาของเทคโนโลยีในกระบวนการผลิต และตอบสนองความต้องการของภาคอุตสาหกรรมที่จะเข้ามาลงทุนในโครงการ EEC ในอนาคต บริษัทฯ จึงได้พัฒนา และดำเนินโครงการด้านการศึกษาต่าง ๆ เพื่อช่วยยกระดับขีดความสามารถของบุคลากรในโรงงานและแรงงานท้องถิ่น โดยเปิดโอกาสให้ทุกคนได้เข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพอย่างทั่วถึงและส่งเสริมการเรียนรู้อย่างไม่หยุดนิ่ง
บริษัทฯ ร่วมกับการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และชมรมอมตะจิตอาสา อมตะซิตี้ ระยอง (AMATA CSR Volunteer Club) จัดโครงการ “โรงเรียนพอเพียง” เรียนรู้การเพาะเห็ดนางฟ้า ณ โรงเรียนบ้านภูไทร ต.เขาไม้แก้ว อ.บางละมุง จ.ชลบุรี เพื่อเป็นการส่งเสริมให้นักเรียนได้เรียนรู้ทักษะต่างๆ ของการเพาะเห็ดโดยการฝึกปฏิบัติจริง ตั้งแต่กระบวนการบรรจุก้อน หยอดเชื้อเห็ด และการดูแลโรงเรือนเพาะ เพื่อให้สามารถนำไปประกอบอาหารกลางวันในโรงเรียน ลดค่าใช้จ่ายและยังสามารถขายสร้างรายได้ให้กับโรงเรียนอีกด้วย
บริษัทฯ ร่วมกับการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และชมรม CSR อมตะซิตี้ ชลบุรี จัดโครงการพัฒนาโรงเรียนและห้องสมุดอิเล็คทรอนิคส์ จำนวน 3 ครั้ง ได้แก่ 1.โรงเรียนเทศบาลดอนหัวฬ่อ 1 2.โรงเรียนวัดบ้านงิ้ว และ 3.โรงเรียนบ้านห้วยตากด้าย โครงการดังกล่าว จะเป็นการมอบคอมพิวเตอร์ใหม่ และคอมพิวเตอร์มือสอง โต๊ะเรียน เก้าอี้ เพื่อสนับสนุนช่องทางการเรียนรู้ผ่านระบบออนไลน์ รวมมูลค่าที่ส่งมอบให้โรงเรียน 486,490 บาท การซ่อมแซมสนามเด็กเล่นการสอนการเพาะเห็ด เพื่อใช้เป็นวัตถุดิบในการทำอาหารกลางวัน และสร้างอาชีพเสริม รวมทั้งมีการเล่นเกมส์แจกของรางวัลแก่นักเรียน
ในปี 2565 บริษัทฯ จัดประกวดวาดภาพ ระบายสี ชิงทุนการศึกษา ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4-6 ในหัวข้อ "สิ่งดีดีที่อมตะ" กับโรงเรียนที่อยู่โดยรอบนิคมอุตสาหกรรมฯ อมตะซิตี้ ชลบุรี และอมตะซิตี้ ระยอง ชิงทุนการศึกษากว่า 50,000 บาท เพื่อส่งเสริมให้เยาวชนที่อยุ่โดยรอบนิคมฯ ได้ใช้ทักษะจินตนาการ ฝึกสังเกต เรียนรู้สิ่งต่างๆ ในสังคมรอบตัว มาสร้างสรรค์เป็นผลงานศิลปะ ซึ่งมีนักเรียนร่วมส่งภาพประกวดกว่า 150 ภาพ
บริษัทฯ ให้ความสำคัญกับการสนับสนุน และการมีส่วนร่วมกับกิจกรรมทางวัฒนธรรมและประเพณีท้องถิ่นของชุมชน เพื่อสืบสานประเพณีที่ดีงาม และสร้างความสัมพันธ์และทัศนคติที่ดีกับชุมชน โดยบริษัทฯ ร่วมกับการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย บริษัทผู้ประกอบการในนิคมอุตสาหกรรมอมตะทั้งสองแห่ง และชุมชนโดยรอบนิคมอุตสาหกรรมอมตะทั้งสองแห่ง เข้าร่วมและสนับสนุนกิจกรรมทางวัฒนธรรมและประเพณีท้องถิ่นของชุมชน อย่างต่อเนื่อง
ในปี 2565 ผู้บริหารและพนักงานของบริษัทฯ ได้ร่วมทำกิจกรรมกับชุมชนท้องถิ่นในพื้นที่โดยรอบนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ชลบุรี เช่น งานทอดกฐินมหากุศล วัดบุญญราศรี ตำบลคลองตำหรุ ทอดกฐินสามัคคี วัดมาบสามเกลียว และ วัดบางนาง จังหวัดชลบุรี และงานแห่เทียนพรรษาประจำปี 2565
ในพื้นที่ของนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ระยอง ได้ร่วมกิจกรรมประเพณีสงกรานต์และวันผู้สูงอายุของ อบต. โดยมอบของที่ระลึกและของอุปโภคบริโภคให้แก่ผู้สูงอายุในตำบลเขาไม้แก้ว อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี ตำบลปลวกแดง อำเภอปลวกแดง จังหวัดระยอง และ อำเภอนิคมพัฒนา จังหวัดระยอง และเข้าร่วมประเพณีเข้าพรรษา และประเพณีลอยกระทง ตำบลมาบยางพร
คณะทำงานชุมชนสัมพันธ์และกิจกรรมความรับผิดชอบเพื่อสังคมของบริษัทฯ ได้ทำการสำรวจความพึงพอใจของชุมชนโดยรอบนิคมอุตสาหกรรมอมตะทั้งสองแห่งเป็นประจำทุกปี ร่วมกับคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีปทุม วิทยาเขตชลบุรี เพื่อศึกษาข้อมูลความพึงพอใจของชุมชนที่มีต่อโครงการพัฒนาชุมชนด้านต่าง ๆ ของบริษัทฯ ในเชิงลึกรวมถึงศึกษาความต้องการและความคาดหวังของชุมชนให้ชัดเจนยิ่งขึ้น โดยผลการสำรวจพบว่านิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ชลบุรี ได้รับคะแนนความพึงพอใจเฉลี่ยที่คะแนน 92% และนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ระยอง ได้รับคะแนนความพึงพอใจเฉลี่ยที่คะแนน 98%
นอกจากนี้ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยได้ทำการสำรวจความพึงพอใจของชุมชนประจำปีที่มีต่อนิคมอุตสาหกรรมทั่วประเทศ จำนวน 33 แห่ง โดยร่วมกับบริษัทฯ ดำเนินการสำรวจความพึงพอใจของชุมชนรอบนิคมอุตสาหกรรมอมตะทั้งสองแห่ง ในปี 2565 นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ชลบุรี ได้รับคะแนนความพึงพอใจเฉลี่ย ที่คะแนน 91% และนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ระยอง ได้รับคะแนนความพึงพอใจเฉลี่ยที่คะแนน 89%
บริษัทฯ ได้นำข้อเสนอแนะจากการประเมินความพึงพอใจของชุมชนโดยรอบนิคมอุตสาหกรรมอมตะทั้งสองแห่ง มาวิเคราะห์ และวางแผนการดำเนินกิจกรรมเพื่อสนับสนุน และพัฒนาชุมชนในปีถัดไป นอกจากนี้ คณะทำงานชุมชนสัมพันธ์และความรับผิดชอบเพื่อสังคม ได้ลงพื้นที่เพื่อสัมภาษณ์เชิงลึก ถึงประเด็นปัญหา และความคาดหวังของชุมชนต่อบริษัทฯ เพื่อนำมาเป็นข้อมูลพื้นฐานในการดำเนินกิจกรรมต่อไปในอนาคต
+84 251 3991 007 (South)
+84 203 3567 007 (North)
+85 620 5758 0007
© AMATA CORPORATION PCL. All rights reserved. Web by Toneyes