การพัฒนานิคมอุตสาหกรรมนั้นเป็นธุรกิจที่ก่อให้เกิดมลภาวะทางสิ่งแวดล้อมที่สามารถส่งผลกระทบโดยตรงต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมในพื้นที่และกระทบต่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตของผู้มีส่วนได้เสียที่ทำงานในนิคมอุตสาหกรรมและชุมชนที่อยู่อาศัยโดยรอบหากไม่มีการควบคุมดูแลที่ดี นำมาซึ่งการขาดความเชื่อมั่นจากผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม การต่อต้านจากชุมชนท้องถิ่นในการขยายธุรกิจในอนาคต และอาจถูกเพิกถอนใบอนุญาตในการดำเนินธุรกิจได้
การมุ่งเน้นการพัฒนาระบบการบริหารจัดการและควบคุมคุณภาพของสิ่งแวดล้อมภายในนิคมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ทำให้บริษัทฯ มีโอกาสในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ โดยนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพสูงมาใช้เพื่อให้มั่นใจว่าสิ่งแวดล้อมจะได้รับการดูแลตรวจสอบอย่างใกล้ชิด ซึ่งจะทำให้ผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่มมีความมั่นใจในการทำงานของบริษัทฯ มากขึ้นและสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้ากลุ่มที่ให้ความสำคัญในเรื่องนี้ได้ดียิ่งขึ้น และบริษัทฯ สามารถส่งมอบองค์ความรู้ในการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมเพื่อเป็นประโยชน์ให้กับสังคมและประเทศที่บริษัทฯ ดำเนินโครงการอยู่ได้ต่อไป
บริษัทฯ ตระหนักถึงความรับผิดชอบต่อผลกระทบที่มีต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากกิจกรรมในห่วงโซ่อุปทาน ทั้งที่กระทำโดยบริษัทฯ หรือผู้ที่มีความสัมพันธ์ทางธุรกิจกับบริษัทฯ อาทิ คู่ค้า ผู้รับเหมา ลูกค้าที่เป็นผู้เช่าและผู้ประกอบการโรงงาน บริษัทฯ จึงกำหนดไว้ใน “นโยบายการจัดการสิ่งแวดล้อม” “นโยบายการบริหารจัดการของเสีย” “นโยบายการบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืน” ถึงความมุ่งมั่นในการควบคุมคุณภาพสิ่งแวดล้อมให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานที่กฎหมายกำหนดหรือดีกว่า ครอบคลุมไปถึงการดำเนินงานของคู่ค้า ผู้รับเหมา ลูกค้าที่เป็นผู้เช่าและผู้ประกอบการโรงงาน ที่บริษัทฯ ต้องกำกับดูแลและส่งเสริมให้ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบและข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนสอดคล้องตามนโยบายและมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมของบริษัทฯ เช่นกัน เพื่อป้องกันและลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อสิ่งแวดล้อมและต่อผู้มีส่วนได้เสียที่อาจเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนในทุกกิจกรรมตลอดห่วงโซ่อุปทาน
บริษัทฯ จึงได้ทำการประเมินความเสี่ยงและผลกระทบต่าง ๆ ที่เกิดจากการดำเนินธุรกิจตลอดห่วงโซ่อุปทาน รวมไปถึงการกำกับดูแลการทำงานของคู่ค้าและผู้รับเหมา และติดตามสอดส่องดูแลการดำเนินธุรกิจของผู้เช่าและผู้ประกอบการโรงงานอุตสาหกรรมในนิคมอุตสาหกรรมอมตะทั้งสองแห่ง ที่อาจจะก่อให้เกิดผลกระทบเชิงลบต่อสิ่งแวดล้อมได้ จากการประเมินผลกระทบพบว่า มลภาวะด้านสิ่งแวดล้อมที่มีผลกระทบสำคัญต่อผู้มีส่วนได้เสีย ได้แก่ มลพิษทางอากาศ ขยะและของเสียจากอุตสาหกรรม มลพิษทางน้ำ เสียงและกลิ่นรบกวนจากโรงงานในนิคมอุตสาหกรรม ดังนั้น บริษัทฯ จึงมุ่งเน้นการบริหารจัดการเพื่อดูแลและควบคุมผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมให้อยู่ในเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนดหรือดีกว่า โดยเลือกใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพ และยึดมั่นปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม มาตรการที่กำหนดเอาไว้ในรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรฐานสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ของในประเทศและระดับสากลอย่างเคร่งครัด อาทิ มาตรฐาน ISO 14001 ซึ่งบริษัทฯ รับการรับรองครอบคลุมร้อยละ 100 ของพื้นที่ดำเนินงานตามขอบเขตการรายงานของรายงานความยั่งยืนฉบับนี้ ตลอดจนส่งเสริมคู่ค้า ผู้รับเหมา ลูกค้าที่เป็นผู้เช่าและผู้ประกอบการโรงงานให้ตระหนักถึงความสำคัญของการจัดการผลกระทบจากการดำเนินกิจกรรมทางธุรกิจและให้ความร่วมมือในการลดการก่อมลพิษในทุกด้าน โดยบริษัทฯ ตั้งเป้าหมายปี 2567 ว่าไม่มีเหตุการณ์การละเมิดกฎหมายและข้อบังคับด้านสิ่งแวดล้อม หรือถูกปรับอย่างมีนัยสำคัญ และตัวชี้วัดคุณภาพสิ่งแวดล้อมอยู่ในเกณฑ์ค่ามาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนดทุกรายการ
บริษัทฯ ได้ร่วมกับการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ในการกำกับดูแลนิคมอุตสาหกรรมของอมตะทั้งสองแห่งให้ดำเนินการตามกรอบกฎหมายและระเบียบข้อบังคับต่าง ๆ ตลอดจนนโยบายของทั้งสองหน่วยงานเพื่อลดผลกระทบเชิงลบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม บริษัทฯ ได้ปฏิบัติตามตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมในเขตพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในการบริหารจัดการด้านสิ่งแวดล้อมของนิคมอุตสาหกรรมต่อชุมชนข้างเคียง และส่งเสริมแนวทางการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมของนิคมอุตสาหกรรมด้วยหลักธรรมาภิบาลสิ่งแวดล้อม โดยมีผลการดำเนินงาน ดังนี้
ศึกษารายละเอียดนโยบายได้ที่นี่
บริษัทฯ ตระหนักถึงผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นจากโรงงานสถานประกอบการที่ตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมอมตะซึ่งอยู่นอกเหนือการควบคุมของบริษัทฯ บริษัทฯ จึงได้จัดตั้งศูนย์เฝ้าระวังและควบคุมคุณภาพสิ่งแวดล้อม หรือ EMCC ขึ้นในปี 2556 และดำเนินการต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน เพื่อติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อมในเขตพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมอมตะทั้งสองแห่ง ให้มีตัวชี้วัดคุณภาพสิ่งแวดล้อมให้เป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐานที่กฎหมายกำหนด เช่น มลพิษอากาศ น้ำทิ้ง โดยข้อมูลการตรวจวัดคุณภาพสิ่งแวดล้อมจากทั้งสองพื้นที่จะถูกเชื่อมโยงเข้าสู่ศูนย์ EMCC ด้วยระบบแสดงผลออนไลน์ต่อเนื่อง 24 ชั่วโมง จำนวน 5 ระบบ ได้แก่
เป็นศูนย์กลางรวบรวมข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อมในระดับนิคมอุตสาหกรรม และโรงงานอุตสาหกรรม เช่น ปริมาณการใช้น้ำ ปริมาณน้ำเสีย คุณภาพน้ำเสีย ปริมาณกากของเสีย และคุณภาพอากาศ เป็นต้น
เป็นระบบที่เชื่อมโยงผลการตรวจวัดคุณภาพน้ำทิ้งหลังผ่านการบำบัด ด้วยเครื่อง BOD Online และ COD Online จากระบบบำบัดน้ำเสียส่วนกลางของนิคมอุตสาหกรรมมายังศูนย์ EMCC โดยหากพบว่าคุณภาพน้ำทิ้งเกินมาตรฐานตามประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดมาตรฐานคุณภาพน้ำทิ้งจากโรงงานอุตสาหกรรม นิคมอุตสาหกรรม และเขตประกอบการอุตสาหกรรม ลงวันที่ 29 มีนาคม 2559 และประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง กำหนดมาตรฐานควบคุมการระบายน้ำทิ้งจากโรงงาน พ.ศ. 2560 ลงวันที่ 30 พฤษภาคม 2560 ทางศูนย์ EMCC จะแจ้งเตือนไปที่ศูนย์ควบคุมน้ำเสียส่วนกลาง เพื่อวิเคราะห์สาเหตุของปัญหาและทำการแก้ไขโดยทันที
เป็นระบบเฝ้าระวังคุณภาพอากาศในบรรยากาศผ่านสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศแบบต่อเนื่อง (Air Quality Monitoring Station : AQMS) ของพื้นที่ชุมชนโดยรอบนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ชลบุรี จำนวน 4 สถานี คือ วัดอู่ตะเภา วัดมาบสามเกลียว โรงเรียนพานทองสภาชนูปถัมภ์ และวัดอ้อมแก้ว และพื้นที่โดยรอบนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ระยอง จำนวน 2 สถานี คือ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลมาบยางพร และวัดพนานิคม ชนิดของมลพิษทางอากาศที่จะทำการตรวจวัดและนำมาวิเคราะห์คุณภาพอากาศ ได้แก่ ฝุ่นละอองรวม (TSP) ฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 10 ไมครอน (PM10) ฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM2.5) ก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (SO2) ก๊าซไนโตรเจนไดออกไซด์ (NO2) รวมถึงการวัดความเร็วและทิศทางลม เพื่อวิเคราะห์แนวโน้มการแพร่กระจายของมลพิษและแหล่งกำเนิดของมลพิษอากาศ รวมทั้งสามารถตรวจวัดปริมาณน้ำฝนและอุณหภูมิจากสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศแบบต่อเนื่องได้ด้วย เพื่อใช้ข้อมูลปริมาณน้ำฝนในการคาดการณ์สถานการณ์ฝนตกในพื้นที่ได้อย่างแม่นยำ และอุณหภูมิสูงสุด-ต่ำสุด เพื่อประเมินสภาพภูมิอากาศในพื้นที่เพื่อใช้ในการวางแผนการจัดการด้านสิ่งแวดล้อม
แม้ว่าบริษัทฯ จะไม่มีกิจกรรมที่ปล่อยมลพิษอากาศจากธุรกิจโดยตรงและไม่มีอำนาจหน้าที่ในการควบคุมการปล่อยมลพิษของโรงงานได้ แต่บริษัทฯ ยังคงให้ความสำคัญกับระบบติดตามและควบคุมคุณภาพสิ่งแวดล้อมโดยการเชื่อมโยงข้อมูลการตรวจวัดคุณภาพอากาศจากปล่องของโรงงานอุตสาหกรรม และระบบตรวจสอบคุณภาพอากาศจากปล่องอัตโนมัติ (Continuous Emission Monitoring System: CEMS) กับฐานข้อมูลการตรวจวัดคุณภาพอากาศของนิคมอุตสาหกรรมในภาพรวม (Emission Inventory) เพื่อการบริหารจัดการคุณภาพอากาศในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม (Emission Loading) หากพบว่าโรงงานมีการปล่อยค่ามลพิษทางอากาศเกินมาตรฐาน ศูนย์ EMCC จะมีการแจ้งเตือนไปยังโรงงานที่มีการปล่อยมลพิษเกิน ให้ทำการตรวจสอบและรายงานสาเหตุ เพื่อแก้ไขปรับปรุงทันที
เพื่อประมวลผลและใช้วางแผนงานด้านความปลอดภัยและจราจร รวมถึงการเฝ้าระวังด้านสิ่งแวดล้อมของโรงงานอุตสาหกรรมภายในนิคมอุตสาหกรรมอมตะ
การติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่องของศูนย์ EMCC เป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้มีส่วนได้เสียได้ว่า บริษัทฯ ให้ความสำคัญกับการจัดการผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมอย่างมากและติดตามคุณภาพของสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง ทำให้สามารถตอบสนองและแก้ไขปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมอมตะได้อย่างทันท่วงที โดยมีการเชื่อมโยงข้อมูลคุณภาพสิ่งแวดล้อมของนิคมอุตสาหกรรมอมตะไปยังศูนย์เฝ้าระวังและควบคุมคุณภาพสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัย (ศสป. กนอ.) ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยด้วย
ในปี 2567 บริษัทฯ และโรงงานอุตสาหกรรมในนิคมอุตสาหกรรมอมตะทั้งสองแห่งไม่มีเหตุการณ์ที่ละเมิดกฎหมายและระเบียบข้อบังคับด้านสิ่งแวดล้อมแต่อย่างใด และค่าตัวชี้วัดคุณภาพสิ่งแวดล้อมที่ตรวจวัด ได้แก่ คุณภาพอากาศ และคุณภาพน้ำทิ้งหลังผ่านการบำบัดจากระบบบำบัดน้ำเสียส่วนกลาง อยู่ในเกณฑ์ค่ามาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนดทุกรายการ
บริษัทฯ จัดทำรายงานการปฏิบัติตามมาตรการป้องกัน และแก้ไขผลกระทบ และติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อม (EIA Monitoring Report) เป็นประจำทุก 6 เดือน โดยจัดส่งให้กับสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 13 (ชลบุรี) และสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัด (ทสจ.) เพื่อเปิดเผยผลการปฏิบัติตามมาตรการป้องกัน และแก้ไขผลกระทบ และติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อม ในรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (Environmental Impact Assessment : EIA) ของทั้งนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ชลบุรี และนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ระยอง และนำเสนอให้คณะกรรมการตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อมของนิคมอุตสาหกรรมทั้งสองนิคมฯ ซึ่งประกอบด้วยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เจ้าหน้าที่สิ่งแวดล้อมของบริษัทฯ ผู้แทนองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้แทนชุมชน และผู้แทนโรงงานภายในนิคมอุตสาหกรรมอมตะ รับทราบเป็นประจำทุก 6 เดือนด้วย
ในปี 2567 บริษัทฯ ได้นำเสนอผลในรายงาน EIA Monitoring ต่อคณะกรรมการตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อมของทั้งสองนิคมอุตสาหกรรม จำนวน 4 ครั้ง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้คณะกรรมการ
1) ให้ความคิดเห็นและข้อเสนอแนะในการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมของนิคมอุตสาหกรรม ผลกระทบจากนิคมอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม ตลอดจนปัญหาข้อร้องเรียนที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม
2) รับทราบผลการตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อมภายในและภายนอกนิคมอุตสาหกรรม
3) ช่วยเผยแพร่ความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมที่ถูกต้อง และสร้างความเชื่อมั่นในการบริหารจัดการนิคมอุตสาหกรรมให้แก่ชุมชนโดยรอบนิคมอุตสาหกรรม
คณะกรรมการตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อมของทั้งสองนิคมอุตสาหกรรมไม่มีข้อเสนอแนะที่เกี่ยวข้องกับผลกระทบของสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากกระบวนการทำงานของบริษัทฯ โดยตรง แต่เป็นผลกระทบที่เกิดขึ้นจากกิจกรรมของลูกค้าผู้ประกอบการโรงงานและผู้รับเหมาของบริษัทฯ ที่ต้องการให้บริษัทฯ ช่วยดูแล นอกจากนี้ยังได้ให้ข้อเสนอแนะที่เสนอให้บริษัทฯ นำไปพัฒนาโครงการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมทั้งสองแห่งในปีต่อไป ดังนี้
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
การดำเนินงานตามนโยบายของรัฐ
บริษัทฯ ได้นำกรอบการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมเชิงนิเวศมาประยุกต์ในการดำเนินกิจการ โดยกรอบการพัฒนาพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมเชิงนิเวศของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ประกอบด้วย 5 มิติ 22 ด้าน ได้แก่ มิติกายภาพ มิติเศรษฐกิจ มิติสิ่งแวดล้อม มิติสังคม และมิติการบริหารจัดการ ซึ่งเกี่ยวข้องกับผู้มีส่วนได้เสียหลักของบริษัทฯ ได้แก่ ชุมชน ผู้ประกอบการ พนักงานในบริษัท พนักงานในโรงงาน และหน่วยงานราชการท้องถิ่น ระดับในการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมเชิงนิเวศแบ่งออกเป็น 3 ระดับ คือ ระดับ Eco-Champion ระดับ Eco-Excellence และระดับ Eco-World Class ซึ่งในอนาคต การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย มีแผนที่จะพัฒนาร่างเกณฑ์ตัวชี้วัดจากเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ (Eco I.E.) เป็นนิคมอุตสาหกรรมเชิงนิเวศมุ่งสู่เป้าหมายความยั่งยืน (SDGs I.E.) ต่อไป
การพัฒนาพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ชลบุรี และพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ระยอง ไปสู่การเป็นเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ นั้น บริษัทฯ ได้มีการดำเนินกิจกรรมและโครงการมากมาย ได้แก่ การจัดตั้งคณะกรรมการการจัดการระบบจราจร และคณะกรรมการบริหารจัดการกากอุตสาหกรรม การสร้างงานสร้างอาชีพให้กับชุมชน การจัดการระบบการจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างครบวงจร การตรวจเฝ้าระวังคุณภาพทางสิ่งแวดล้อม การจัดการมลภาวะทางน้ำ กากของเสีย มลภาวะทางเสียง ฝุ่น ควัน วัดระดับมลพิษ และเปิดเผยผลการดำเนินงานสู่สาธารณะ การพัฒนาคุณภาพชีวิตของชุมชนและโรงงาน เป็นต้น รวมไปถึงการพัฒนาระบบการใช้งานภายในองค์กรที่สามารถใช้ระบบการบริหารจัดการข้อมูลที่ทันสมัยต่าง ๆ
ปี 2567 บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) ได้รับการรับรองการเป็นเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ ระดับ Eco-Excellence : E2 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 7 สำหรับพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ชลบุรี และปีที่ 6 สำหรับพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ระยอง ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ในปี 2567 โดยเมื่อวันที่ 23 กันยายน 2567 คุณนำชัย นิลทอง ผู้จัดการฝ่ายวิศวกรรมสิ่งแวดล้อม บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) เข้ารับรางวัลนิคมอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ ระดับ Eco-Excellence ในงาน Eco Innovation Forum 2024 จัดโดยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ร่วมกับสถาบันน้ำและสิ่งแวดล้อมเพื่อความยั่งยืน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ซึ่งการรับรองการเป็นนิคมอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ ระดับ Eco-Excellence นั้น จะมอบให้กับนิคมอุตสาหกรรมที่สามารถพัฒนาและยกระดับคุณภาพชีวิตชุมชนและคุณภาพสิ่งแวดล้อม มุ่งมั่นพัฒนาอุตสาหกรรมที่ยั่งยืนบนพื้นฐานความสมดุลของเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม
การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ได้จัดทำโครงการธรรมาภิบาลสิ่งแวดล้อม ธงขาวดาวเขียว (Green Star Award) โดยดำเนินการผ่าน “คณะกรรมการกำกับการตรวจประเมินโรงงาน” ซึ่งประกอบไปด้วยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หน่วยงานราชการท้องถิ่น ชุมชนในรัศมี 5 กิโลเมตรรอบนิคมอุตสาหกรรม และบริษัทฯ ในฐานะผู้พัฒนานิคมอุตสาหกรรม เพื่อตรวจสอบ กำกับดูแลโรงงานในนิคมอุตสาหกรรมอมตะทั้งสองแห่ง ตามหลักธรรมาภิบาลสิ่งแวดล้อม ซึ่งกำหนดให้มีการเปิดเผยข้อมูลด้านการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมของโรงงานที่สมัครเข้าร่วมโครงการ รวมทั้งมีการติดตามประเมินผลการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อมของโรงงานโดยมีผู้แทนจากการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และผู้เชี่ยวชาญเข้าให้คำปรึกษาในด้านระบบการบริหารจัดการภายในโรงงานโดยไม่มีค่าใช้จ่าย การให้ผู้แทนจากหน่วยงานราชการท้องถิ่น และผู้นำชุมชนเข้าตรวจประเมิน และเยี่ยมชมโรงงาน เพื่อความโปร่งใสในการบริหารจัดการ และสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องกับชุมชนท้องถิ่น โดยมีเกณฑ์การประเมินโครงการธรรมาภิบาลสิ่งแวดล้อม ธงขาวดาวเขียว มีทั้งสิ้น 5 มิติ 13 หัวข้อ
1. การจัดการพื้นที่สีเขียว
2. ระบบการระบายน้ำ
3. การส่งเสริมเศรษฐกิจท้องถิ่นและเศรษฐกิจชุมชน
4. การจัดการน้ำ/การใช้ทรัพยากรน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ/การลดการใช้พลังงาน และการใช้พลังงานทางเลือก
5. การจัดการกากอุตสาหกรรม/ปฏิกูล/ขยะมูลฝอย และการดูแลถังบรรจุภัณฑ์ (วัตถุดิบ/ผลิตภัณฑ์)
6. การจัดการคุณภาพอากาศ
7. การจัดการไอระเหยของสารเคมี/การบริหารจัดการความปลอดภัยกระบวนการผลิต PSM
8. ความปลอดภัยและสุขภาพของพนักงาน
9. การจัดการอุบัติเหตุ/อุบัติภัย
10. ข้อร้องเรียน
11. คุณภาพชีวิต และสังคมของพนักงานในโรงงาน
12. คุณภาพชีวิตและสังคมของชุมชนโดยรอบ
13. การบริหารจัดการโรงงาน
ในปี 2567 มีโรงงานผู้ประกอบการในนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ชลบุรี เข้าร่วมตรวจประเมินจำนวน 13 โรงงาน นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ระยอง มีโรงงานผู้ประกอบการเข้าร่วมตรวจประเมินจำนวน 9 โรงงาน และบริษัทฯ ได้ส่งเจ้าหน้าที่เข้าร่วมเป็นคณะกรรมการของโครงการและได้ตรวจประเมินโรงงาน ผลการตรวจประเมินพบว่าทุกโรงงานที่เข้ารับการตรวจประเมินในโครงการธรรมาภิบาลสิ่งแวดล้อม (ธงขาวดาวเขียว) ผ่านเกณฑ์ประเมินมากกว่า 80% ทุกโรงงาน ซึ่งจัดอยู่ในระดับดี-ดีเยี่ยม
บริษัทฯ จัดให้มีช่องทางในการรับข้อร้องเรียนที่หลากหลายเพื่อให้ผู้มีส่วนได้เสียที่ได้รับผลกระทบจากมลภาวะทางสิ่งแวดล้อมสามารถเข้าถึงได้ง่ายและสามารถแจ้งข้อมูลได้โดยตรง บริษัทฯ มีการดำเนินการรับข้อร้องเรียนอย่างเป็นระบบตามมาตรฐาน ISO 14001: 2015 เพื่อจำแนกและจัดการข้อร้องเรียนแต่ละประเภทได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม
ช่องทาง Online:
ช่องทาง Offline:
รายงานผลการจัดการข้อร้องเรียนต่อผู้มีส่วนได้เสีย
รายงานสรุปกระบวนการแก้ไขข้อร้องเรียนต่อผู้บริหารเป็นประจำ
การบริหารจัดการข้อร้องเรียนด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมของบริษัทฯ นั้น ต้องอาศัยความร่วมมือและการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้เสียหลายฝ่าย เนื่องจากบริษัทฯ ไม่มีอำนาจทางกฎหมายในการจัดการกับผู้เช่าหรือลูกค้าผู้ประกอบการโรงงานที่สร้างผลกระทบทางสังคมและสิ่งแวดล้อมโดยตรง ต้องดำเนินการผ่านหน่วยงานภาครัฐ อาทิ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กรมโรงงาน กระทรวงอุตสาหกรรม ประกอบกับการพิจารณาระเบียบ ข้อบังคับ หรือกฎหมายที่เกี่ยวข้องเป็นแนวทางในการแก้ไข รวมถึงการวิเคราะห์สาเหตุเพื่อหาแนวทางการป้องกันจากต้นทาง โดยสามารถแบ่งการดำเนินการออกเป็น 2 ระดับ คือ
เมื่อข้อร้องเรียนที่พบเกิดขึ้นจากกระบวนการในโรงงานของลูกค้า หรือในพื้นที่ส่วนกลางของนิคมอุตสาหกรรม บริษัทฯ จะพิจารณาส่งเจ้าหน้าที่สิ่งแวดล้อม หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าสำรวจพื้นที่ เพื่อให้คำแนะนำลูกค้าในการปรับปรุงกระบวนการทำงาน และแนวทางการแก้ไขในเบื้องต้น รวมถึงการขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน หรือผู้เชี่ยวชาญจากหน่วยงานในภาครัฐในการดำเนินการปรับปรุง
ในกรณีที่ข้อร้องเรียนไม่ได้รับการแก้ไข และมีการร้องเรียนเกิดขึ้นซ้ำอีก บริษัทฯ จะยื่นเรื่องผ่านการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เพื่อเข้าดำเนินการตรวจสอบตามกระบวนการ รวมถึงประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่มีอำนาจในการกำกับดูแลเพื่อวางแนวทางการบริหารจัดการ วิเคราะห์สาเหตุ และวิธีการป้องกันต่อไป
ในปี 2567 บริษัทฯ ได้รับข้อร้องเรียนด้านสิ่งแวดล้อมผ่านช่องทางต่าง ๆ รวม 15 รายการ เป็นข้อร้องเรียนระหว่างโรงงานต่อโรงงานจำนวน 6 รายการ และข้อร้องเรียนระหว่างชุมชนและโรงงานจำนวน 7 รายการ และข้อร้องเรียนด้านสิ่งแวดล้อมและด้านสังคมที่มีนัยสำคัญจากผู้มีส่วนได้เสียต่อการดำเนินงานของบริษัทฯ โดยตรงจำนวน 2 รายการ เกี่ยวกับการพัฒนาโครงการใหม่ ได้แก่ นิคมอุตสาหกรรม อมตะสมาร์ทซิตี้ ชลบุรี และอมตะซิตี้ ชลบุรี 2 ที่ได้เริ่มดำเนินงานตั้งแต่ปี 2566 ข้อร้องเรียนดังกล่าวบริษัทฯ ได้รับความร่วมมือจากการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เข้าตรวจสอบพื้นที่ร่วมกับเจ้าหน้าที่สิ่งแวดล้อมของบริษัทฯ และผู้แทนชุมชน เพื่อดำเนินการแก้ไข และป้องกันการเกิดซ้ำ โดยข้อร้องเรียนได้รับการแก้ไขแล้วเสร็จจำนวน 15 รายการคิดเป็นร้อยละ 100
บริษัทฯ ไม่มีข้อร้องเรียนด้านการละเมิดข้อกฎหมายด้านสิ่งแวดล้อมอย่างมีนัยสำคัญถึงขั้นถูกปรับ ส่วนข้อร้องเรียนด้านสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นระหว่างโรงงาน และระหว่างชุมชนกับโรงงาน พบว่าเป็นข้อร้องเรียนเกี่ยวกับปัญหาด้านกลิ่น และข้อกังวลเกี่ยวกับน้ำเสีย ซึ่งบริษัทฯ ได้เข้าไปช่วยประสานงานแก้ไขผลกระทบที่เกิดจากโรงงานในนิคมอุตสาหกรรม และให้ความช่วยเหลือโรงงานในการปรับปรุงการดำเนินงานของโรงงานเพื่อลดปัญหาเรื่องกลิ่น พร้อมตรวจสอบระบบน้ำเสียจากโรงงานสร้างความมั่นใจให้กับชุมชนโดยรอบ
ส่วนข้อร้องเรียนที่มีต่อการดำเนินงานของบริษัทฯ โดยตรง ได้แก่ ปัญหาดินร่วงหล่นบนถนนและฝุ่นละอองจากการก่อสร้างโครงการใหม่ที่กำลังพัฒนาในปัจจุบัน ซึ่งเกิดจากการดำเนินงานของผู้รับเหมา ซึ่งบริษัทฯ ไม่ได้นิ่งนอนใจในการแก้ไขบรรเทาและป้องกันผลกระทบที่ชุมชนได้รับ โดยการกำหนดมาตรการในการควบคุม กำหนดความเร็วสำหรับรถบรรทุกดินของผู้รับเหมาพร้อมทั้งแจ้งให้มีการคลุมผ้าใบ จัดให้มีจุดทำความสะอาดล้อรถบรรทุกดินและพนักงานทำความสะอาดถนนที่รถบรรทุกดินวิ่งผ่านพร้อมการฉีดพรมน้ำทั้งในช่วงเวลาเช้าและเย็น กำหนดช่วงเวลาวิ่งของรถบรรทุกดินให้หลีกเลี่ยงช่วงเวลาเร่งด่วนและควบคุมปริมาณการบรรทุกให้เป็นไปตามกฎหมาย และมอบหมายให้ฝ่ายวิศวกรรมติดตามตรวจสอบอย่างใกล้ชิด หากผู้รับเหมาไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดดังกล่าว บริษัทฯ จะพิจารณายกเลิกสัญญาว่าจ้างต่อไป นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้ประสานงานกับผู้รับเหมาที่สร้างผลกระทบเพื่อให้รับผิดชอบเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบโดยทั้งการเงินและการติดตั้งอุปกรณ์ป้องกันเพิ่มเติม
ข้อร้องเรียนด้านสิ่งแวดล้อม
ณ นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ชลบุรี อมตะซิตี้ ระยอง และอมตะสมาร์ทซิตี้ ชลบุรี
+84 251 3991 007 (ใต้)
+84 203 3567 007 (เหนือ)
+95 1 230 5627
© AMATA CORPORATION PCL. All rights reserved. Web by Toneyes