ความเสี่ยง

การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศเป็นปัจจัยที่ท้าทายต่อการดำเนินธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมของบริษัทฯ อย่างมาก นอกจากจะทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการบริหารจัดการน้ำซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญของการดำเนินธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมแล้ว ยังมีความเสี่ยงทางกายภาพ (Physical risk) จากด้านภัยธรรมชาติที่รุนแรงมากขึ้นในแต่ละปี การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศจึงทำให้เกิดผลกระทบที่มีนัยสำคัญต่อกลุ่มผู้มีส่วนได้เสียหลายกลุ่มในห่วงโซ่คุณค่า เช่น การใช้น้ำในสายการผลิตของโรงงานผู้ประกอบการในนิคมอุตสาหกรรม และการใช้ชีวิตและความเป็นอยู่ของพนักงานโรงงานและชุมชนท้องถิ่นโดยรอบ รวมถึงผลกระทบต่อบริษัทฯ ที่ทำให้ต้นทุนการดำเนินงานสูงขึ้นจากการเตรียมพร้อมให้สามารถจัดหาน้ำสะอาดที่มีคุณภาพตามมาตรฐานส่งให้โรงงานในนิคมอุตสาหกรรมได้อย่างต่อเนื่อง และการป้องกันผลกระทบทางกายภาพจากภัยธรรมชาติต่าง ๆ ในนิคมอุตสาหกรรมที่ดำเนินการอยู่และโครงการในอนาคต

นอกจากนี้ ในปัจจุบันเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงของกฎหมายและระเบียบข้อบังคับต่าง ๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับสภาพภูมิอากาศทั้งในประเทศและต่างประเทศ ที่เป็นความเสี่ยง (Transition risk) ต่อทั้งบริษัทฯ และผู้ประกอบการในนิคมอุตสาหกรรม ทำให้บริษัทฯ ต้องเตรียมพร้อมรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นของลูกค้าปัจจุบันและลูกค้าในอนาคต เช่น การจัดเตรียมและเปิดเผยข้อมูลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับการใช้พลังงานและการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของสาธารณูปโภคต่าง ๆ หรือการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่ยั่งยืน เพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้นและลดความเสี่ยงต่อความสามารถในการแข่งขันของบริษัทฯ ในอนาคต

โอกาส

บริษัทฯ มองเห็นโอกาสในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ที่มาจากความต้องการของผู้ประกอบการในนิคมอุตสาหกรรมในปัจจุบันที่ได้รับผลกระทบจากการบังคับใช้กฎหมายและข้อบังคับด้านสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลง กฎเกณฑ์ทางการค้าที่เปลี่ยนแปลงไปตามนโยบายของรัฐบาลในแต่ละประเทศ และนโยบายด้านสภาพภูมิอากาศที่เข้มงวดมากยิ่งขึ้นจากบริษัทแม่ในต่างประเทศ  ตลอดจนตอบสนองความต้องการของลูกค้าใหม่หรือกลุ่มเป้าหมายที่ให้ความสำคัญกับเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมากขึ้น

แนวทางการบริหารจัดการ

การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศเป็นความท้าทายสำคัญระดับโลกที่นำไปสู่ความเสี่ยงในการเกิดภัยพิบัติและส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ ความเป็นอยู่ และความยั่งยืนของสังคมโลก ซึ่งผลกระทบในปัจจุบันได้ทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด บริษัทฯ ตระหนักถึงความสำคัญของความร่วมมือจากทุกภาคส่วนเพื่อร่วมกันลดผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ และสนับสนุนความตกลงปารีส (Paris Agreement) เมื่อเดือนธันวาคม ปี 2558 ที่ประเทศไทยได้แสดงเจตจำนงที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเมื่อเทียบกับปีฐาน 2558 ลง 20-25% ภายในปี 2573 เพื่อควบคุมการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกให้ต่ำกว่า 2 องศาเซลเซียสเมื่อเทียบกับยุคก่อนการปฏิวัติอุตสาหกรรม และข้อตกลงด้านสภาพภูมิอากาศกลาสโกว์ (Glasgow Climate Pact) ที่สนับสนุนการใช้พลังงานสะอาด ลดการใช้ถ่านหินและพลังงานฟอสซิล รวมถึงการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติเป้าหมายที่ 13

บริษัทฯ ตระหนักถึงความสำคัญของความร่วมมือจากทุกภาคส่วนเพื่อร่วมกันลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และมุ่งมั่นที่จะร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการลดผลกระทบและปรับตัวเพื่อรับมือกับความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่อาจเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง บริษัทฯ จึงกำหนดเป็น “นโยบายการจัดการกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ” และมอบหมายให้คณะกรรมการบริหารความเสี่ยง ร่วมกับคณะกรรมการกำกับกิจการที่ดีและการพัฒนาอย่างยั่งยืนเป็นผู้กำกับดูแลการดำเนินงาน เพื่อรับมือกับความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เช่น ความเสี่ยงด้านน้ำ และการเปลี่ยนแปลงของกฎหมายและข้อบังคับที่มีผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจ ตลอดจนแสวงหาโอกาสทางธุรกิจที่เกิดขึ้น โดยทั้งสองคณะได้ติดตามความคืบหน้าผ่านสำนักกลยุทธ์และการบริหารความเสี่ยงองค์กร ซึ่งมี นายสัทธา วนลาภพัฒนา รักษาการประธานเจ้าหน้าที่กลยุทธ์และผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เป็นผู้รับผิดชอบการดำเนินงานร่วมกับหน่วยงานในบริษัทฯ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อกำหนดกลยุทธ์และบูรณาการเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของแผนธุรกิจของบริษัท รวมถึงกำหนดให้เป็นเป้าหมายขององค์กรและจัดทำแผนการดำเนินงานเพื่อมุ่งสู่การเป็นเมืองที่เป็นกลางทางคาร์บอนในปี 2583 โดยมุ่งเน้นการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ และลดอัตราการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางตรงและทางอ้อม (scope 1 & 2) ต่อหน่วยพื้นที่ที่ดำเนินงานลงร้อยละ 30 ในปี 2573 เทียบกับปีฐาน 2562

ศึกษารายละเอียดนโยบายได้ที่นี่

การประเมินความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

บริษัท ฯ ได้ทำการประเมินความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจของบริษัท ฯ และกำหนดมาตรการบริหารจัดการความเสี่ยงเพื่อลดหรือป้องกันผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ดังนี้

1. ความเสี่ยงทางกายภาพ (Physical Risks)

ประเภทความเสี่ยง: ความเสี่ยงด้านการปฏิบัติงาน

ปัจจัยความเสี่ยง

ความเสี่ยงจากภัยแล้ง

ผลกระทบ/โอกาส

การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการตกของฝนและปริมาณของน้ำฝน อาจส่งผลให้เกิดการขาดแคลนน้ำในพื้นที่ ทำให้ปริมาณน้ำดิบมีไม่เพียงพอสำหรับการใช้ในกระบวนการผลิตน้ำใช้เพื่อการอุตสาหกรรม ซึ่งอาจนำไปสู่การหยุดชะงักของระบบสาธารณูปโภค รวมถึงการเพิ่มต้นทุนในการจัดหาน้ำ รวมถึงค่าปรับและการเยียวยากรณีผู้ประกอบการในนิคมอุตสาหกรรมไม่สามารถดำเนินกิจกรรมทางธุรกิจได้อย่างต่อเนื่องด้วย นอกจากนี้ อาจกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างบริษัทฯ และชุมชนในพื้นที่ใกล้เคียงจากการแย่งชิงน้ำดิบหากเกิดวิกฤตการขาดแคลนน้ำอย่างรุนแรง

มาตรการจัดการความเสี่ยง

  • จัดให้มีแหล่งน้ำดิบสำรองทั้งภายในและภายนอกนิคมอุตสาหกรรมอมตะ ให้เพียงพอต่อความต้องการใช้น้ำทั้งหมดภายในนิคมอุตสาหกรรม ไม่น้อยกว่า 14 เดือน ปัจจุบัน บริษัท ฯ มีแหล่งสำรองน้ำดิบผิวดินพร้อมใช้จำนวนรวม 17 แห่ง ซึ่งมีความจุรวมทั้งสิ้น 61.2 ล้านลูกบาศก์เมตร
  • ลดการพึ่งพาน้ำดิบจากแหล่งน้ำธรรมชาติ โดยเพิ่มการใช้น้ำคุณภาพสูงที่ผลิตจากน้ำที่ผ่านการบำบัดแล้วด้วยระบบ Water Reclamation ทดแทนการใช้น้ำดิบในการผลิตน้ำเพื่อการอุตสาหกรรม ทำให้ปัจจุบันบริษัทฯ สามารถลดสัดส่วนการใช้น้ำดิบผิวดินลงและส่งผลให้มีปริมาณน้ำดิบสำรองใช้เพิ่มขึ้นอีก 5 เดือน ลดความเสี่ยงในการขาดแคลนน้ำ และยังสามารถช่วยสนับสนุนชุมชนท้องถิ่นหากเกิดวิกฤตภัยแล้งได้อีกทางหนึ่ง
  • ใช้เทคโนโลยีในการพยากรณ์สภาพอากาศเพื่อบริหารจัดการปริมาณน้ำในบ่อเก็บน้ำภายในนิคมอุตสาหกรรมอมตะให้เหมาะสม
  • สื่อสารกับผู้ประกอบการในนิคมอุตสาหกรรมอมตะ และชุมชนโดยรอบโดยทั่วกัน ให้รับทราบและเข้าใจถึงแผนการบริหารจัดการน้ำของบริษัท ฯ 

ความเสี่ยงจากภาวะน้ำท่วม

น้ำท่วมอาจส่งผลให้การดำเนินงานทั้งของบริษัทฯ และโรงงานผู้ประกอบการในนิคมอุตสาหกรรมหยุดชะงัก บริษัทฯ ต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นจากการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อทรัพย์สินทั้งของผู้ประกอบการในนิคมอุตสาหกรรมและของบริษัทฯ รวมถึงการลงทุนเพิ่มเติมเพื่อสร้างระบบป้องกันน้ำท่วมที่มีประสิทธิภาพในทุกโครงการของบริษัทฯ ทั้งในปัจจุบันและในอนาคต นอกจากนี้ อาจกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างบริษัทฯ และชุมชนในพื้นที่ที่ได้รับความเดือดร้อนจากน้ำท่วมเช่นกัน

  • ปรับปรุงทางไหลของน้ำภายในนิคมอุตสาหกรรมอมตะทั้งสองแห่ง จัดทำมาตรการการระบายน้ำและพื้นที่หน่วงน้ำเพื่อป้องกันการเกิดน้ำท่วมขัง ในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูง
  • พัฒนาการจัดการแบบองค์รวมโดยบูรณาการความร่วมมือจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อบริหารจัดการความเสี่ยงจากน้ำท่วมและภัยแล้งในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ชลบุรี โดยใช้เทคโนโลยีการสำรวจดิจิทัลในการเก็บรวบรวมข้อมูลภูมิศาสตร์ที่เป็นปัจจุบันมากที่สุด เพื่อออกแบบระบบการจัดการน้ำที่สามารถรับมือกับความแปรปรวนของสภาพอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
  • สื่อสารกับผู้ประกอบการในนิคมอุตสาหกรรมอมตะ และชุมชนโดยรอบโดยทั่วกัน ให้รับทราบและเข้าใจถึงแผนการบริหารจัดการน้ำของบริษัท ฯ 
ประเภทความเสี่ยง: ความเสี่ยงด้านการเงิน

ปัจจัยความเสี่ยง

ความเสี่ยงด้านความต่อเนื่องทางธุรกิจจากการบริหารจัดการน้ำ

ผลกระทบ/โอกาส

หากบริษัท ฯ ไม่สามารถจัดหาน้ำให้แก่ผู้ประกอบการในนิคมอุตสาหกรรมได้ตามความต้องการ จะเกิดผลกระทบต่อต้นทุนการดำเนินงานที่สูงขึ้น จากการจัดซื้อน้ำดิบในช่วงน้ำแล้ง หรือเพิ่มค่าใช้จ่ายจากการแก้ไขปัญหาน้ำท่วม ตลอดจนค่าปรับและการเยียวยากรณีผู้ประกอบการในนิคมอุตสาหกรรมไม่สามารถดำเนินกิจกรรมทางธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง

มาตรการจัดการความเสี่ยง

  • ลดความเสี่ยงจากต้นทุนเพิ่มขึ้นเมื่อแหล่งน้ำหลักไม่เพียงพอ โดยจัดหาแหล่งน้ำสำรองให้เพียงพอต่อความต้องการใช้ทั้งหมดในนิคมอุตสาหกรรมอย่างน้อยร้อยละ 150
  • วิเคราะห์สถานการณ์จำลองด้วย Stress Test & Scenario Analysis ด้านน้ำ เช่น ภัยแล้งรุนแรง หรือราคาน้ำเพิ่มขึ้น เพื่อประเมินผลกระทบต่อรายได้และต้นทุน
  • ลดการพึ่งพาน้ำดิบจากแหล่งน้ำธรรมชาติ โดยเพิ่มการใช้น้ำคุณภาพสูงที่ผลิตจากน้ำที่ผ่านการบำบัดแล้วด้วยระบบ Water Reclamation ทดแทนการใช้น้ำดิบในการผลิตน้ำเพื่อการอุตสาหกรรม

2. ความเสี่ยงจากการเปลี่ยนผ่าน (Transition Risks)

ประเภทความเสี่ยง: ความเสี่ยงด้านกลยุทธ์ / ความเสี่ยงด้านการเงิน

ปัจจัยความเสี่ยง

ความเสี่ยงด้านความต่อเนื่องทางธุรกิจจากการบริหารจัดการน้ำ

ผลกระทบ/โอกาส

ผู้ประกอบการในนิคมอุตสาหกรรมตื่นตัวกับการมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) และการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) ทำให้เกิดการใช้สาธารณูปโภคและการผลิตของเสียลดลง ส่งผลกระทบต่อรายได้ประจำจากการขายสาธารณูปโภคและบริการจัดการของเสียของบริษัท ฯ แต่อย่างไรก็ดี ลูกค้าผู้ประกอบการมีความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์และบริการที่ยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้นอย่างชัดเจนในปีที่ผ่านมา  จึงเป็นโอกาสในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการใหม่เพื่อสร้างรายได้เพิ่มขึ้น

มาตรการจัดการความเสี่ยง

  • ศึกษาและวิเคราะห์ความต้องการใช้และมาตรฐานใหม่ของผู้ประกอบการในปัจจุบันและลูกค้าในอนาคต และเตรียมกำหนดแผนการพัฒนากระบวนการผลิตสาธารณูปโภค และการบริการทางด้านอุตสาหกรรม ให้สามารถตอบสนองความต้องการของผู้ประกอบการได้และรองรับแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน
  • เพิ่มกำลังผลิตและขยายแหล่งผลิตพลังงานหมุนเวียนซึ่งบริษัท ฯ ได้กำหนดเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียนเป็นร้อยละ 30 ในปี 2030
  • ปรับปรุงการใช้พลังงานที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นในกิจกรรมการดำเนินงานส่วนต่างๆในนิคมอุตสาหกรรม เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและคาร์บอนฟุตพริ้นท์ในผลิตภัณฑ์
  • ศึกษาโอกาสทางธุรกิจที่มาจากความต้องการสาธารณูปโภคชนิดใหม่ เช่น น้ำบริสุทธิ์สูง (Ultrapure Water) และน้ำบริสุทธิ์ที่ปราศจากเกลือแร่ (Demineralized Water) ซึ่งผลิตมาจากน้ำที่ผ่านการบำบัดแล้วภายในนิคมอุตสาหกรรมอมตะ
ประเภทความเสี่ยง: ความเสี่ยงด้านการปฏิบัติตามกฎระเบียบ

ปัจจัยความเสี่ยง

ความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงนโยบาย/กฎเกณฑ์ของภาครัฐด้านสิ่งแวดล้อมเพื่อตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

ผลกระทบ/โอกาส

ตลอดห่วงโซ่คุณค่าของการดำเนินธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมและธุรกิจเกี่ยวเนื่องนั้น มีความเกี่ยวข้องกับกฎหมายและระเบียบข้อบังคับจำนวนมาก เนื่องจากเป็นธุรกิจที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ทั้งทางตรงและทางอ้อม การดำเนินงานที่ไม่สอดคล้องกับกฎหมายหรือระเบียบข้อบังคับต่างๆ ที่เพิ่มขึ้นหรือเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ทั้งโดยบริษัทฯ เอง หรือโดยการดำเนินงานของคู่ค้าผู้รับเหมาของบริษัทฯ โดยเฉพาะโครงการส่วนขยายและโครงการใหม่ทั้งในประเทศและต่างประเทศ อาจนำมาซึ่งความเสียหายทางการเงินและความเสียหายต่อชื่อเสียงของบริษัท ฯ ตลอดจนความเชื่อมั่นของผู้มีส่วนได้เสีย และการได้รับการยอมรับจากสังคมและชุมชนโดยรอบให้สามารถประกอบกิจการและเติบโตได้ในอนาคต

มาตรการจัดการความเสี่ยง

  • ติดตามการเปลี่ยนแปลงกฎหมาย กฎเกณฑ์ ระเบียบข้อบังคับ ด้านสิ่งแวดล้อมหรือประเด็นที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม ทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศ รวมถึงติดตามการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในระดับโลก ที่จะนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงของนโยบายและกฎหมายในอนาคต
  • ปรับปรุงแก้ไขกระบวนการทำงาน และกระบวนการผลิตสินค้าและบริการต่าง ๆ ของบริษัทฯ เพื่อลดโอกาสการเกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และสอดคล้องกับมาตรฐานระดับสากล
  • เปิดเผยข้อมูลในด้านสิ่งแวดล้อมที่โปร่งใสและตรวจสอบได้ เช่น คาร์บอนฟุตพริ้นท์องค์กร การใช้น้ำ การจัดการของเสีย และการบัญชีด้าน ESG โดยทบทวนและปรับรูปแบบกระบวนการเก็บข้อมูลภายในให้เป็นระบบ และได้รับการทวนสอบจากผู้ตรวจสอบภายนอก เพื่อให้มั่นใจในมาตรฐานการเก็บข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อมที่เป็นสากล และความถูกต้องแม่นยำของข้อมูลที่เปิดเผย
  • จัดการอบรมและสัมมนาให้แก่คู่ค้าผู้รับเหมาเพื่อให้รับทราบถึงการเปลี่ยนแปลงของกฎหมายด้านสิ่งแวดล้อม รวมถึงใช้เกณฑ์ด้านสิ่งแวดล้อมเป็นหนึ่งในเกณฑ์การประเมินความเสี่ยงและคัดเลือกคู่ค้าผู้รับเหมา ซึ่งคู่ค้าสำคัญที่ทำธุรกิจโดยตรงกับบริษัท ฯ (Critical tier-1 suppliers) และคู่ค้าใหม่ได้รับการประเมินความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อมทั้งหมด

Climate Change Strategies

บริษัทฯ ได้กำหนดกลยุทธ์และแนวทางการจัดการเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการดำเนินงานและรับมือกับสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลง ภายใต้แคมเปญ “Save Earth, Safe Us” โดยแบ่งออกเป็น 3 ด้าน ได้แก่

กลยุทธ์ที่ 1. สร้างเมืองที่มีความยืดหยุ่นต่อสภาพภูมิอากาศที่แปรปรวน (Climate Resilience City)

บริษัทฯ ให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการรับมือกับสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงไปจากอดีต เช่น รูปแบบการตกของฝน ปริมาณน้ำฝนและความรุนแรงของพายุฝนในพื้นที่ภาคตะวันออก จนเกิดภาวะน้ำแล้งหรือน้ำท่วมในบางปี บริษัทฯ จึงมุ่งเน้นการบริหารจัดการน้ำทุกประเภทอย่างบูรณาการและยั่งยืน ได้แก่ น้ำดิบ น้ำใช้ น้ำแล้ง น้ำเสีย และน้ำท่วม เพื่อสร้างความมั่นคงทางน้ำและสร้างความมั่นใจให้แก่ลูกค้าและชุมชนในพื้นที่ และลดความเสี่ยงที่จะเกิดผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจและคุณภาพชีวิตของผู้มีส่วนได้เสีย  

  • มุ่งมั่นเพื่อความมั่นคงทางน้ำโดยการสร้างอ่างเก็บน้ำภายในพื้นที่ 
    บริษัทฯ กำหนดเป็นนโยบายในจัดหาน้ำดิบสำรองให้มีมากกว่าความต้องการใช้ในนิคมอุตสาหกรรมต่อปี อย่างน้อย 150%  

  • ลดการพึ่งพาน้ำผิวดินโดยใช้ประโยชน์จากน้ำที่ผ่านการบำบัดแล้วตามหลักการ Zero discharge 
    บริษัทฯ นำน้ำที่ผ่านการบำบัดแล้วกลับมาใช้ใหม่ให้เกิดประโยชน์สูงสุดเพื่อลดการพึ่งพาน้ำดิบจากแหล่งน้ำธรรมชาติและลดความเสี่ยงและความรุนแรงของผลกระทบหากเกิดภาวะน้ำแล้ง  

  • พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและความสามารถในการเตรียมรับมือและป้องกันภาวะน้ำท่วม 
    บริษัท ฯ ได้พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและระบบบริหารจัดการน้ำเพื่อเตรียมรับมือและป้องกันภาวะน้ำท่วม และส่งเสริมผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่มให้ตระหนักถึงการใช้ทรัพยากรน้ำอย่างคุ้มค่า การรักษาความสะอาดของลำรางสาธารณะให้ปราศจากขยะและสิ่งกีดขวางทางเดินน้ำ ผ่านศูนย์เรียนรู้ด้านการบริหารจัดการน้ำของอมตะ และโครงการพัฒนาชุมชนต้นแบบด้านการจัดการน้ำ 

  • สรรหาทำเลที่ตั้งเชิงกลยุทธ์  
    บริษัทฯ ให้ความสำคัญกับทำเลที่ตั้งของโครงการที่จะทำให้ผู้ประกอบการโรงงานอุตสาหกรรมได้รับผลกระทบเชิงลบน้อยที่สุดและสามารถดำเนินธุรกิจได้ในระยะยาว จึงใช้ผลการศึกษาผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของแต่ละภูมิภาคเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญในการคัดเลือกทำเลที่ตั้งของโครงการในอนาคต 
  • ใช้เทคโนโลยีในการบริหารความเสี่ยง

    บริษัทฯ ได้ติดตั้งสถานีอุตุนิยมวิทยาแบบออนไลน์ (smart weather station) ในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ชลบุรี  และในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ระยอง รวมทั้งหมด 11 จุด เพื่อพยากรณ์และติดตามการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศได้อย่างรวดเร็ว ทำให้บริหารจัดการปริมาณน้ำในบ่อเก็บน้ำภายในนิคมอุตสาหกรรมอมตะให้อย่างเหมาะสม ตลอดจนเตรียมพร้อมรับมือกับสภาพอากาศที่แปรปรวนได้ทันท่วงที

กลยุทธ์ที่ 2. สร้างเมืองที่เป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutral City)  

บริษัทฯ ให้ความสำคัญกับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จึงได้กำหนดเป้าหมายที่ท้าทายมากยิ่งขึ้นในการมุ่งสู่การเป็นเมืองที่เป็นกลางทางคาร์บอนในปี 2583 และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงร้อยละ 30 ภายในปี 2573 เทียบกับปีฐาน 2562 เพื่อสนับสนุนความตกลงปารีส (Paris Agreement) และเป้าหมายของประเทศไทยที่ได้ประกาศในการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 26 ว่าจะเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ในปี 2593 และปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2608  

  • เพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน
    บริษัทฯ ปรับเปลี่ยนอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ใช้ในสำนักงานและพื้นที่ส่วนกลางให้เป็นอุปกรณ์ที่ประหยัดไฟฟ้า ลดการใช้พลังงานเชื้อเพลิงจากฟอสซิล และบูรณาการกลยุทธ์นี้เข้าเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาแผนธุรกิจของบริษัทฯ ในการขับเคลื่อนโครงการเมืองอัจฉริยะ (AMATA Smart City) ที่มุ่งเน้นการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพจากการใช้เทคโนโลยีและแหล่งพลังงานคาร์บอนต่ำ  
  • ลดขยะที่ส่งกำจัดด้วยวิธีฝังกลบให้น้อยที่สุด 
    บริษัทฯ นำหลักการของเศรษฐกิจหมุนเวียนมาปรับใช้ในกระบวนการจัดการขยะมูลฝอยและขยะอุตสาหกรรม และส่งเสริมการคัดแยกขยะรีไซเคิลและใช้ประโยชน์จากขยะรีไซเคิลให้ได้มากที่สุด เพื่อลดขยะที่ส่งกำจัดด้วยวิธีฝังกลับให้เหลือน้อยที่สุด ตามเป้าหมาย Zero Waste to Landfill  
  • เร่งการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานหมุนเวียนด้วยเทคโนโลยีที่เหมาะสม
    บริษัทฯ ส่งเสริมการผลิตพลังงานหมุนเวียนด้วยเทคโนโลยีที่เหมาะสมกับธุรกิจและพื้นที่ เพื่อใช้ภายในนิคมอุตสาหกรรมให้มากขึ้น โดยเฉพาะระบบสาธารณูปโภคส่วนกลางของบริษัทฯ  
  • ร่วมมือกับพันธมิตรในการเพิ่มความสามารถในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
    บริษัทฯ ส่งเสริมให้มีการศึกษาและพัฒนาเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตลอดห่วงโซ่คุณค่าและวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ บริษัทฯ จึงใส่ใจในการออกแบบและบริหารโครงการด้วยเทคโนโลยี Building Information Modeling (BIM) และมาตรฐานอาคารของ Leadership in Energy & Environmental Design (LEED) รวมถึงการพัฒนา Platform ต่างๆ 
กลยุทธ์ที่ 3. พัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่เกี่ยวเนื่องกับสภาพภูมิอากาศ 

บริษัทฯ มองเห็นโอกาสในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ที่มาจากความต้องการของผู้ประกอบการในนิคมอุตสาหกรรมในปัจจุบันที่ได้รับผลกระทบจากการบังคับใช้กฎหมายและข้อบังคับด้านสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลง กฎเกณฑ์ทางการค้าที่เปลี่ยนแปลงไปตามนโยบายของรัฐบาลในแต่ละประเทศ และนโยบายด้านสภาพภูมิอากาศที่เข้มงวดมากยิ่งขึ้นจากบริษัทแม่ในต่างประเทศ  ตลอดจนตอบสนองความต้องการของลูกค้าใหม่หรือกลุ่มเป้าหมายที่ให้ความสำคัญกับเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมากขึ้น

กลยุทธ์ที่ 1 สร้างเมืองที่มีความยืดหยุ่นต่อสภาพภูมิอากาศที่แปรปรวน (Climate Resilience City)

บริษัทฯ ให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการรับมือกับสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงไปจากอดีต เช่น รูปแบบการตกของฝน ปริมาณน้ำฝนและความรุนแรงของพายุฝนในพื้นที่ภาคตะวันออก จนเกิดภาวะน้ำแล้งหรือน้ำท่วมในบางปี บริษัทฯ จึงมุ่งเน้นการบริหารจัดการน้ำทุกประเภทอย่างบูรณาการและยั่งยืน ได้แก่ น้ำดิบ น้ำใช้ น้ำแล้ง น้ำเสีย และน้ำท่วม เพื่อสร้างความมั่นคงทางน้ำและสร้างความมั่นใจให้แก่ลูกค้าและชุมชนในพื้นที่ และลดความเสี่ยงที่จะเกิดผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจและคุณภาพชีวิตของผู้มีส่วนได้เสีย

  • มุ่งมั่นเพื่อความมั่นคงทางน้ำโดยการสร้างอ่างเก็บน้ำภายในพื้นที่
    บริษัทฯ กำหนดเป็นนโยบายในจัดหาน้ำดิบสำรองให้มีมากกว่าความต้องการใช้ในนิคมอุตสาหกรรมต่อปี อย่างน้อย 150%
  • ลดการพึ่งพาน้ำผิวดินโดยใช้ประโยชน์จากน้ำที่ผ่านการบำบัดแล้วตามหลักการ Zero discharge
    บริษัทฯ นำน้ำที่ผ่านการบำบัดแล้วกลับมาใช้ใหม่ให้เกิดประโยชน์สูงสุดเพื่อลดการพึ่งพาน้ำดิบจากแหล่งน้ำธรรมชาติและลดความเสี่ยงและความรุนแรงของผลกระทบหากเกิดภาวะน้ำแล้ง
  • พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและความสามารถในการเตรียมรับมือและป้องกันภาวะน้ำท่วม
    บริษัทฯ ได้พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและระบบบริหารจัดการน้ำเพื่อเตรียมรับมือและป้องกันภาวะน้ำท่วม และส่งเสริมผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่มให้ตระหนักถึงการใช้ทรัพยากรน้ำอย่างคุ้มค่า การรักษาความสะอาดของลำรางสาธารณะให้ปราศจากขยะและสิ่งกีดขวางทางเดินน้ำ ผ่านศูนย์เรียนรู้ด้านการบริหารจัดการน้ำของอมตะ และโครงการพัฒนาชุมชนต้นแบบด้านการจัดการน้ำ
  • สรรหาทำเลที่ตั้งเชิงกลยุทธ์
    บริษัทฯ ให้ความสำคัญกับทำเลที่ตั้งของโครงการที่จะทำให้ผู้ประกอบการโรงงานอุตสาหกรรมได้รับผลกระทบเชิงลบน้อยที่สุดและสามารถดำเนินธุรกิจได้ในระยะยาว จึงใช้ผลการศึกษาผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของแต่ละภูมิภาคเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญในการคัดเลือกทำเลที่ตั้งของโครงการในอนาคต
  • ใช้เทคโนโลยีในการบริหารความเสี่ยง
    บริษัทฯ ได้ติดตั้งสถานีอุตุนิยมวิทยาแบบออนไลน์ (smart weather station) ในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ชลบุรี  และในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ระยอง รวมทั้งหมด 11 จุด เพื่อพยากรณ์และติดตามการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศได้อย่างรวดเร็ว ทำให้บริหารจัดการปริมาณน้ำในบ่อเก็บน้ำภายในนิคมอุตสาหกรรมอมตะให้อย่างเหมาะสม ตลอดจนเตรียมพร้อมรับมือกับสภาพอากาศที่แปรปรวนได้ทันท่วงที

กลยุทธ์ที่ 2 สร้างเมืองที่เป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutral City)

บริษัทฯ ให้ความสำคัญกับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จึงได้กำหนดเป้าหมายที่ท้าทายมากยิ่งขึ้นในการมุ่งสู่การเป็นเมืองที่เป็นกลางทางคาร์บอนในปี 2583 และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงร้อยละ 30 ภายในปี 2573 เทียบกับปีฐาน 2562 เพื่อสนับสนุนความตกลงปารีส (Paris Agreement) และเป้าหมายของประเทศไทยที่ได้ประกาศในการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 26 ว่าจะเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ในปี 2593 และปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2608

  • เพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน
    บริษัทฯ ปรับเปลี่ยนอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ใช้ในสำนักงานและพื้นที่ส่วนกลางให้เป็นอุปกรณ์ที่ประหยัดไฟฟ้า ลดการใช้พลังงานเชื้อเพลิงจากฟอสซิล และบูรณาการกลยุทธ์นี้เข้าเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาแผนธุรกิจของบริษัทฯ ในการขับเคลื่อนโครงการเมืองอัจฉริยะ (AMATA Smart City) ที่มุ่งเน้นการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพจากการใช้เทคโนโลยีและแหล่งพลังงานคาร์บอนต่ำ
  • ลดขยะที่ส่งกำจัดด้วยวิธีฝังกลบให้น้อยที่สุด
    บริษัทฯ นำหลักการของเศรษฐกิจหมุนเวียนมาปรับใช้ในกระบวนการจัดการขยะมูลฝอยและขยะอุตสาหกรรม และส่งเสริมการคัดแยกขยะรีไซเคิลและใช้ประโยชน์จากขยะรีไซเคิลให้ได้มากที่สุด เพื่อลดขยะที่ส่งกำจัดด้วยวิธีฝังกลับให้เหลือน้อยที่สุด ตามเป้าหมาย Zero Waste to Landfill
  • เร่งการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานหมุนเวียนด้วยเทคโนโลยีที่เหมาะสม
    บริษัทฯ ส่งเสริมการผลิตพลังงานหมุนเวียนด้วยเทคโนโลยีที่เหมาะสมกับธุรกิจและพื้นที่ เพื่อใช้ภายในนิคมอุตสาหกรรมให้มากขึ้น โดยเฉพาะระบบสาธารณูปโภคส่วนกลางของบริษัทฯ
  • ร่วมมือกับพันธมิตรในการเพิ่มความสามารถในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
    บริษัทฯ ส่งเสริมให้มีการศึกษาและพัฒนาเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตลอดห่วงโซ่คุณค่าและวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ บริษัทฯ จึงใส่ใจในการออกแบบและบริหารโครงการด้วยเทคโนโลยี Building Information Modeling (BIM) และมาตรฐานอาคารของ Leadership in Energy & Environmental Design (LEED) รวมถึงการพัฒนา Platform ต่างๆ

ผลการดำเนินงานด้านการลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ

บริษัทฯ ได้จัดทำข้อมูลคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร (Carbon Footprint for Organization: CFO) ปีละ 1 ครั้ง โดยอ้างอิงวิธีการคำนวณปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากแนวทางการประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร ขององค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) ประกอบด้วยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางตรง (scope 1) การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมจากการใช้พลังงาน (scope 2) และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมอื่น ๆ (scope 3) โดยมีขอบเขตการรายงานครอบคลุม 3 พื้นที่ประกอบด้วย สำนักงานใหญ่ กรุงเทพมหานคร นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ชลบุรี และนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ระยอง เฉพาะในพื้นที่สำนักงานของบริษัทฯ ทั้งสามแห่ง และในพื้นที่ส่วนกลางของนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ชลบุรี และอมตะซิตี้ ระยอง ที่ดูแลรับผิดชอบโดยบริษัทฯ

ในปี 2567 บริษัทฯ ได้รับการขึ้นทะเบียนคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กรต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 จากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) โดยเป็นข้อมูลของปี 2566 เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2567

หลังจากที่ได้รับการทวนสอบและขึ้นทะเบียน บริษัท ฯ พบว่า ปริมาณคาร์บอนฟุตพริ้นท์องค์กรมีการเปลี่ยนแปลงจากข้อมูลที่เปิดเผยในรายงานความยั่งยืนประจำปี 2566 โดยในปี 2566 บริษัทฯ ปล่อยก๊าซเรือนกระจกรวมทั้งสิ้น 63,861 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า จากการดำเนินงาน จำแนกเป็นการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางตรง (scope 1) จำนวน 579 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมจากการใช้พลังงานไฟฟ้าที่ซื้อมา (scope 2) จำนวน 14,639 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า  รวมการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางตรงและทางอ้อม (scope 1 & 2) จำนวน 15,218 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ลดลงร้อยละ 4.0  เมื่อเทียบกับปี 2565 และลดลงร้อยละ 15.4 เทียบกับปีฐาน 2562  อัตราการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางตรงและทางอ้อมต่อหน่วยพื้นที่ที่ดำเนินงาน (Combined GHG (scope 1&2) Intensity) ของปี 2566 เท่ากับ 0.46 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อไร่ หรือ 2.86 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อเฮกตาร์ และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมอื่น ๆ (scope 3) จำนวนรวม 48,643 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า

บริษัทฯ ได้จัดทำรายงาน คาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กรสำหรับช่วงวันที่ 1 มกราคม – 31 ธันวาคม 2567 ซึ่งอยู่ระหว่างการตรวจสอบโดย ศูนย์เชี่ยวชาญด้านกลยุทธ์สิ่งแวดล้อมเพื่อธุรกิจสีเขียว มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (VGREEN) คาดว่าจะแล้วเสร็จภายใน ไตรมาส 3 ปี 2568

บริษัทฯ ได้ทำการคำนวณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของบริษัทฯ ในปี 2567 โดยอ้างอิงวิธีการคำนวณตามแนวทางการประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร ขององค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) พบว่าบริษัท ฯ มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกรวมทั้งสิ้น 63,271 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า จำแนกเป็นการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางตรง (scope 1) จำนวน 539 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า และปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมจากการใช้พลังงานไฟฟ้าที่ซื้อมา (scope 2) จำนวน 12,855  ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า  รวมการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางตรงและทางอ้อม (scope 1 & 2) จำนวน 13,394 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ลดลงจากปี 2566 ร้อยละ 12.0 และลดลงจากปีฐาน 2562 ร้อยละ 25.6  ซึ่งเป็นผลจากการลดสัดส่วนการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงจากฟอสซิล และการลดการใช้พลังงานไฟฟ้าที่ซื้อมาจากภายนอกในกระบวนการทางธุรกิจ จากเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานให้เกิดประโยชน์สูงสุด จากกิจกรรมการประหยัดพลังงาน และจากการใช้พลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ที่ผลิตเพิ่มขึ้นในนิคมอุตสาหกรรม

อัตราการการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางตรงและทางอ้อมต่อหน่วยพื้นที่ที่ดำเนินงาน (Combined GHG (scope 1&2) Intensity) ของปี 2567 เท่ากับ 0.40 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อไร่ หรือ 2.49 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อเฮกตาร์ ลดลงร้อยละ 13.0 จากปี 2566 และลดลงร้อยละ 30.3 เมื่อเทียบกับปีฐาน 2562

บริษัทฯ ใช้แนวทาง การควบคุมการดำเนินงาน (Operational Control Approach) ในการคำนวณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

ในปี 2567 บริษัทฯ ปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมอื่นๆ (scope 3) จำนวนรวม 49,877 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.5 จากปี 2566 โดยมีสาเหตุจากกิจกรรมการจัดการขยะและของเสียที่มีปริมาณเพิ่มขึ้นที่นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ระยอง โดยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมอื่นๆ (scope 3) สามารถจำแนกตามกิจกรรมได้ดังนี้

บริษัทฯ พบว่ากิจกรรมที่เกิดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมอื่น ๆ (scope 3) มากที่สุดสี่ลำดับแรก ได้แก่ การจัดการของเสีย การใช้ไฟฟ้าของผู้รับเหมา การผลิตน้ำคุณภาพสูงจากน้ำที่ผ่านการบำบัดแล้ว และการผลิตน้ำประปาจากน้ำดิบ บริษัทฯ จึงได้ส่งเสริมการบริหารจัดการของเสีย โดยเน้นการคัดแยกขยะรีไซเคิลให้ได้มากที่สุด เพื่อลดปริมาณขยะที่ต้องกำจัดโดยวิธีฝังกลบ นอกจากนี้ ยังสนับสนุนให้ผู้รับเหมานำนวัตกรรมและเทคโนโลยีมาใช้ เพื่อลดการใช้พลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิล พร้อมทั้งส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียนในการบริหารจัดการระบบสาธารณูปโภคของบริษัทฯ เพื่อลดการใช้พลังงานไฟฟ้าที่ซื้อมาและการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมอื่น ๆ

กลยุทธ์ที่ 3 พัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่เกี่ยวเนื่องกับสภาพภูมิอากาศ

บริษัทฯ มองเห็นโอกาสในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ที่มาจากความต้องการของผู้ประกอบการในนิคมอุตสาหกรรมในปัจจุบันที่ได้รับผลกระทบจากการบังคับใช้กฎหมายและข้อบังคับด้านสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลง กฎเกณฑ์ทางการค้าที่เปลี่ยนแปลงไปตามนโยบายของรัฐบาลในแต่ละประเทศ และนโยบายด้านสภาพภูมิอากาศที่เข้มงวดมากยิ่งขึ้นจากบริษัทแม่ในต่างประเทศ  ตลอดจนตอบสนองความต้องการของลูกค้าใหม่หรือกลุ่มเป้าหมายที่ให้ความสำคัญกับเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น ในปี 2567 บริษัทฯ จึงได้มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ที่เกี่ยวเนื่องกับสภาพภูมิอากาศและการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกดังนี้

  • เครือข่ายอมตะคาร์บอนนิวทรัล (Amata Carbon Neutral Network : ACNN)
    บริษัทฯ ได้จัดตั้งเครือข่ายด้านการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของนิคมฯ ภายใต้ชื่อ เครือข่ายอมตะคาร์บอนนิวทรัล Amata Carbon Neutral Network : ACNN) โดยมอบหมายให้บริษัท อมตะ ฟาซิลิตี้ เซอร์วิส จำกัด เป็นผู้ขับเคลื่อนการดำเนินงานของเครือข่าย ซึ่งได้รับความร่วมมือจาก สำนักงานนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ชลบุรี (สน.อต.ชบ.) และสำนักงานนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ระยอง (สน.อต.รย.) ร่วมเป็นแกนนำในการจัดตั้งเครือข่าย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นสื่อกลางในการส่งเสริม สร้างความตระหนักรู้ ความเข้าใจ และความร่วมมือระหว่างผู้ประกอบการภายในนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ชลบุรี และ อมตะซิตี้ ระยอง ในการดำเนินกิจกรรมเกี่ยวกับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) และมุ่งสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ข้อมูล ณ สิ้นปี 2567 เครือข่ายอมตะคาร์บอนนิวทรัลมีสมาชิกทั้งสิ้น 74 บริษัท สมาชิกส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการในนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ชลบุรี รองลงมาเป็นผู้ประกอบการในนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ระยอง และผู้ประกอบการจากภายนอกนิคมฯในพื้นที่ภาคตะวันออก

    บริษัทฯ สนับสนุนเครือข่าย ACNN ด้วยการจัดกิจกรรมการบรรยายจากผู้เชี่ยวชาญด้านความยั่งยืนและการลดคาร์บอนเพื่อสร้างความเข้าใจและเตรียมความพร้อมสำหรับการดำเนินงานด้านความยั่งยืนและการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การจัดสัมมนาและอบรมเชิงปฏิบัติการ และกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อให้ความรู้และสร้างความเข้าใจในหัวข้อเฉพาะด้าน เช่น พลังงานสีเขียว พลังงานทดแทน>พลังงานทางเลือก พลังงานสะอาดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ผลิตภัณฑ์ CFP) คาร์บอนฟุตพริ้นท์องค์กร (CFO)

  • บริการ Solution of Intelligent Carbon and Energy Platform

    บริษัทฯ ได้พัฒนาแพลตฟอร์ม Solution of Intelligent Carbon and Energy ซึ่งดำเนินการโดย บริษัท อมตะ ฟาซิลิตี้ เซอร์วิส จำกัด เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าเกี่ยวกับการบริหารจัดการปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและการใช้พลังงานในกิจกรรมต่าง ๆ ของลูกค้า ดังนี้

    • จัดทำรายงานคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร (CFO) และผลิตภัณฑ์ (CFP) ในรูปแบบของ TGO และ ISO
    • เก็บรวมรวมข้อมูลปริมาณคาร์บอนที่ปล่อยจากกิจกรรมต่าง ๆ รวมถึง ขอบเขตที่ 1, 2 และ 3 ด้วยการใช้ IoT, API หรือการป้อนข้อมูลด้วยตนเอง
    • ให้คำปรึกษาและช่วยวางแผนการบริหารจัดการด้านพลังงานให้มีประสิทธิภาพ
    • คำนวณค่าการปล่อยคาร์บอนและจัดการข้อมูลได้สะดวก รวดเร็ว และแม่นยำ
    • เชื่อมต่อกับผู้ขายใบรับรองพลังงานหมุนเวียน (RECs) และคาร์บอนเครดิต

 

  • บริการจัดงานที่มีความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutral Event) 

    บริษัทฯ ได้ยกระดับธุรกิจรับจัดงานอีเวนต์หรือรับจัดกิจกรรมสานสัมพันธ์ต่าง ๆ ให้ลูกค้าทั้งในและนอกนิคมอุตสาหกรรมอมตะ ซึ่งดำเนินการโดย บริษัท อมตะ ฟาซิลิตี้ เซอร์วิส จำกัด จากงานอีเวนต์ทั่วไปสู่การจัดงานหรือกิจกรรมที่คำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เน้นการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า ลดการสร้างขยะและของเสีย ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและมลพิษทางอากาศจากการจัดงาน พร้อมทั้งจัดทำการคำนวณ Carbon Neutral Event ให้กับงานที่รับดำเนินการ และมีการจัดหาคาร์บอนเครดิตจากโครงการลดก๊าซเรือนกระจกในประเทศไทยมาชดเชยก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยจากกิจกรรมในการจัดงานด้วย โดยในปี 2567 บริษัทฯ ได้ดำเนินการจัดกิจกรรมในรูปแบบงานอีเวนต์ที่เป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutral Event) ให้ลูกค้า จำนวน 2 งาน

  • การให้บริการพลังงานสะอาดด้วยไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์

    บริษัทฯ เริ่มศึกษาและพัฒนาโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ด้วยแผงโซลาร์ลอยน้ำในบ่อน้ำของนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ชลบุรี และนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ระยอง ร่วมกับบริษัท อมตะ บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด ตั้งแต่ปี 2566 เพื่อตอบสนองความต้องการใช้พลังงานไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานหมุนเวียน (renewable energy source) ของกลุ่มลูกค้าในนิคมอุตสาหกรรมอมตะที่มีเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกหรือมุ่งสู่การเป็นกลางทางคาร์บอน โดยในปี 2566 บริษัทฯ ได้ดำเนินการก่อสร้างโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ด้วยแผงโซลาร์ลอยน้ำในนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ชลบุรี ขนาด 19.5 เมกะวัตต์พีค และปัจจุบันอยู่ระหว่างการพัฒนาโครงการเพื่อจ่ายไฟฟ้าผ่านระบบสายส่งไฟฟ้าของบริษัท อมตะ บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด

    ในปี 2567 บริษัทฯ ยังมีการศึกษาความเป็นไปได้ร่วมกับผู้ประกอบการภายในนิคมอุตสาหกรรมสำหรับโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ด้วยแผงโซลาร์ลอยน้ำในนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ชลบุรี ขนาด 42.5 เมกะวัตต์พีค รวมถึงการพัฒนาโซลูชันด้านพลังงานหมุนเวียนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น การใช้พลังงานแสงอาทิตย์แบบลอยน้ำร่วมกับเทคโนโลยีการระบายความร้อนด้วยของเหลวเพื่อลดการใช้พลังงาน ตามแนวทางการเป็นเมืองอัจฉริยะด้านพลังงาน (Smart Energy)

ร่วมสร้างอนาคต
ไปกับอมตะ

ร่วมสร้างอนาคต
ไปกับอมตะ

ติดต่อเราเพิ่มเติม

ประเทศไทย
+66 38 939 007
เวียดนาม

+84 251 3991 007 (ใต้)
+84 203 3567 007 (เหนือ)

พม่า

+95 1 230 5627

ลาว

(+856) 21 810007
(+856) 20 5710007 (ภาษาจีน)
(+856) 20 57550007 (ภาษาอังกฤษ)