ความเสี่ยง

การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศเป็นปัจจัยที่ท้าทายต่อการดำเนินธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมของบริษัทฯ อย่างมาก นอกจากจะทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการบริหารจัดการน้ำซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญของการดำเนินธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมแล้ว ยังมีความเสี่ยงทางกายภาพ (Physical risk) จากด้านภัยธรรมชาติที่รุนแรงมากขึ้นในแต่ละปี การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศจึงทำให้เกิดผลกระทบที่มีนัยสำคัญต่อกลุ่มผู้มีส่วนได้เสียหลายกลุ่มในห่วงโซ่คุณค่า เช่น การใช้น้ำในสายการผลิตของโรงงานผู้ประกอบการในนิคมอุตสาหกรรม และการใช้ชีวิตและความเป็นอยู่ของพนักงานโรงงานและชุมชนท้องถิ่นโดยรอบ รวมถึงผลกระทบต่อบริษัทฯ ที่ทำให้ต้นทุนการดำเนินงานสูงขึ้นจากการเตรียมพร้อมให้สามารถจัดหาน้ำสะอาดที่มีคุณภาพตามมาตรฐานส่งให้โรงงานในนิคมอุตสาหกรรมได้อย่างต่อเนื่อง และการป้องกันผลกระทบทางกายภาพจากภัยธรรมชาติต่าง ๆ ในนิคมอุตสาหกรรมที่ดำเนินการอยู่และโครงการในอนาคต

นอกจากนี้ ในปัจจุบันเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงของกฎหมายและระเบียบข้อบังคับต่าง ๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับสภาพภูมิอากาศทั้งในประเทศและต่างประเทศ ที่เป็นความเสี่ยง (Transition risk) ต่อทั้งบริษัทฯ และผู้ประกอบการในนิคมอุตสาหกรรม ทำให้บริษัทฯ ต้องเตรียมพร้อมรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นของลูกค้าปัจจุบันและลูกค้าในอนาคต เช่น การจัดเตรียมและเปิดเผยข้อมูลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับการใช้พลังงานและการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของสาธารณูปโภคต่าง ๆ หรือการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่ยั่งยืน เพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้นและลดความเสี่ยงต่อความสามารถในการแข่งขันของบริษัทฯ ในอนาคต

โอกาส

บริษัทฯ มองเห็นโอกาสในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ที่มาจากความต้องการของผู้ประกอบการในนิคมอุตสาหกรรมในปัจจุบันที่ได้รับผลกระทบจากการบังคับใช้กฎหมายและข้อบังคับด้านสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลง กฎเกณฑ์ทางการค้าที่เปลี่ยนแปลงไปตามนโยบายของรัฐบาลในแต่ละประเทศ และนโยบายด้านสภาพภูมิอากาศที่เข้มงวดมากยิ่งขึ้นจากบริษัทแม่ในต่างประเทศ  ตลอดจนตอบสนองความต้องการของลูกค้าใหม่หรือกลุ่มเป้าหมายที่ให้ความสำคัญกับเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมากขึ้น

แนวทางการบริหารจัดการ

การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศเป็นความท้าทายสำคัญระดับโลกที่นำไปสู่ความเสี่ยงในการเกิดภัยพิบัติและส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ ความเป็นอยู่ และความยั่งยืนของสังคมโลก ซึ่งผลกระทบในปัจจุบันได้ทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด บริษัทฯ ตระหนักถึงความสำคัญของความร่วมมือจากทุกภาคส่วนเพื่อร่วมกันลดผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ และสนับสนุนความตกลงปารีส (Paris Agreement) เมื่อเดือนธันวาคม ปี 2558 ที่ประเทศไทยได้แสดงเจตจำนงที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเมื่อเทียบกับปีฐาน 2558 ลง 20-25% ภายในปี 2573 เพื่อควบคุมการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกให้ต่ำกว่า 2 องศาเซลเซียสเมื่อเทียบกับยุคก่อนการปฏิวัติอุตสาหกรรม และข้อตกลงด้านสภาพภูมิอากาศกลาสโกว์ (Glasgow Climate Pact) ที่สนับสนุนการใช้พลังงานสะอาด ลดการใช้ถ่านหินและพลังงานฟอสซิล รวมถึงการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติเป้าหมายที่ 13

บริษัทฯ ตระหนักถึงความสำคัญของความร่วมมือจากทุกภาคส่วนเพื่อร่วมกันลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก บริษัทฯ จึงได้บูรณาการ “นโยบายการจัดการกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ” เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการกำหนดเป้าหมายขององค์กรและแผนการดำเนินงานเพื่อมุ่งสู่การเป็นเมืองคาร์บอนต่ำ ที่มุ่งเน้นการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพภายในปี 2583 และลดอัตราการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางตรงและทางอ้อม (scope 1 & 2) ต่อหน่วยพื้นที่ที่ดำเนินงาน ลงร้อยละ 30 ในปี 2573 เทียบกับปีฐาน 2562 ทั้งนี้ในปี 2566 บริษัทฯ ได้มีการปรับเปลี่ยนแนวทางในการกำหนดเป้าหมายการลดอัตราการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ท้าทายมากยิ่งขึ้น และบริษัทฯ ได้กำหนดแนวทางการจัดการเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการดำเนินงานและรับมือกับสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลง ภายใต้แคมเปญ “Save Earth, Safe Us” โดยมีกลยุทธ์การจัดการ แบ่งออกเป็น 3 ด้าน ได้แก่

กลยุทธ์ที่ 1. สร้างเมืองที่มีความยืดหยุ่นต่อสภาพภูมิอากาศที่แปรปรวน (Climate Resilience City)

บริษัทฯ ให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการรับมือกับสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงไปจากอดีต เช่น รูปแบบการตกของฝน ปริมาณน้ำฝนและความรุนแรงของพายุฝนในพื้นที่ภาคตะวันออก จนเกิดภาวะน้ำแล้งหรือน้ำท่วมในบางปี บริษัทฯ จึงมุ่งเน้นการบริหารจัดการน้ำทุกประเภทอย่างบูรณาการและยั่งยืน ได้แก่ น้ำดิบ น้ำใช้ น้ำแล้ง น้ำเสีย และน้ำท่วม เพื่อสร้างความมั่นคงทางน้ำและสร้างความมั่นใจให้แก่ลูกค้าและชุมชนในพื้นที่ และลดความเสี่ยงที่จะเกิดผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจและคุณภาพชีวิตของผู้มีส่วนได้เสีย  

  • มุ่งมั่นเพื่อความมั่นคงทางน้ำโดยการสร้างอ่างเก็บน้ำภายในพื้นที่ 
    บริษัทฯ กำหนดเป็นนโยบายในจัดหาน้ำดิบสำรองให้มีมากกว่าความต้องการใช้ในนิคมอุตสาหกรรมต่อปี อย่างน้อย 150%  

  • ลดการพึ่งพาน้ำผิวดินโดยใช้ประโยชน์จากน้ำที่ผ่านการบำบัดแล้วตามหลักการ Zero discharge 
    บริษัทฯ นำน้ำที่ผ่านการบำบัดแล้วกลับมาใช้ใหม่ให้เกิดประโยชน์สูงสุดเพื่อลดการพึ่งพาน้ำดิบจากแหล่งน้ำธรรมชาติและลดความเสี่ยงและความรุนแรงของผลกระทบหากเกิดภาวะน้ำแล้ง  

  • พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและความสามารถในการเตรียมรับมือและป้องกันภาวะน้ำท่วม 
    บริษัท ฯ ได้พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและระบบบริหารจัดการน้ำเพื่อเตรียมรับมือและป้องกันภาวะน้ำท่วม และส่งเสริมผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่มให้ตระหนักถึงการใช้ทรัพยากรน้ำอย่างคุ้มค่า การรักษาความสะอาดของลำรางสาธารณะให้ปราศจากขยะและสิ่งกีดขวางทางเดินน้ำ ผ่านศูนย์เรียนรู้ด้านการบริหารจัดการน้ำของอมตะ และโครงการพัฒนาชุมชนต้นแบบด้านการจัดการน้ำ 

  • สรรหาทำเลที่ตั้งเชิงกลยุทธ์  
    บริษัทฯ ให้ความสำคัญกับทำเลที่ตั้งของโครงการที่จะทำให้ผู้ประกอบการโรงงานอุตสาหกรรมได้รับผลกระทบเชิงลบน้อยที่สุดและสามารถดำเนินธุรกิจได้ในระยะยาว จึงใช้ผลการศึกษาผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของแต่ละภูมิภาคเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญในการคัดเลือกทำเลที่ตั้งของโครงการในอนาคต 
กลยุทธ์ที่ 2. สร้างเมืองที่เป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutral City)  

บริษัทฯ ให้ความสำคัญกับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จึงได้กำหนดเป้าหมายที่ท้าทายมากยิ่งขึ้นในการมุ่งสู่การเป็นเมืองที่เป็นกลางทางคาร์บอนในปี 2583 และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงร้อยละ 30 ภายในปี 2573 เทียบกับปีฐาน 2562 เพื่อสนับสนุนความตกลงปารีส (Paris Agreement) และเป้าหมายของประเทศไทยที่ได้ประกาศในการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 26 ว่าจะเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ในปี 2593 และปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2608  

  • เพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน
    บริษัทฯ ปรับเปลี่ยนอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ใช้ในสำนักงานและพื้นที่ส่วนกลางให้เป็นอุปกรณ์ที่ประหยัดไฟฟ้า ลดการใช้พลังงานเชื้อเพลิงจากฟอสซิล และบูรณาการกลยุทธ์นี้เข้าเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาแผนธุรกิจของบริษัทฯ ในการขับเคลื่อนโครงการเมืองอัจฉริยะ (AMATA Smart City) ที่มุ่งเน้นการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพจากการใช้เทคโนโลยีและแหล่งพลังงานคาร์บอนต่ำ  
  • ลดขยะที่ส่งกำจัดด้วยวิธีฝังกลบให้น้อยที่สุด 
    บริษัทฯ นำหลักการของเศรษฐกิจหมุนเวียนมาปรับใช้ในกระบวนการจัดการขยะมูลฝอยและขยะอุตสาหกรรม และส่งเสริมการคัดแยกขยะรีไซเคิลและใช้ประโยชน์จากขยะรีไซเคิลให้ได้มากที่สุด เพื่อลดขยะที่ส่งกำจัดด้วยวิธีฝังกลับให้เหลือน้อยที่สุด ตามเป้าหมาย Zero Waste to Landfill  
  • เร่งการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานหมุนเวียนด้วยเทคโนโลยีที่เหมาะสม
    บริษัทฯ ส่งเสริมการผลิตพลังงานหมุนเวียนด้วยเทคโนโลยีที่เหมาะสมกับธุรกิจและพื้นที่ เพื่อใช้ภายในนิคมอุตสาหกรรมให้มากขึ้น โดยเฉพาะระบบสาธารณูปโภคส่วนกลางของบริษัทฯ  
  • ร่วมมือกับพันธมิตรในการเพิ่มความสามารถในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
    บริษัทฯ ส่งเสริมให้มีการศึกษาและพัฒนาเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตลอดห่วงโซ่คุณค่าและวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ บริษัทฯ จึงใส่ใจในการออกแบบและบริหารโครงการด้วยเทคโนโลยี Building Information Modeling (BIM) และมาตรฐานอาคารของ Leadership in Energy & Environmental Design (LEED) รวมถึงการพัฒนา Platform ต่างๆ 
3. พัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่เกี่ยวเนื่องกับสภาพภูมิอากาศ 

บริษัทฯ มองเห็นโอกาสในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ที่มาจากความต้องการของผู้ประกอบการในนิคมอุตสาหกรรมในปัจจุบันที่ได้รับผลกระทบจากการบังคับใช้กฎหมายและข้อบังคับด้านสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลง กฎเกณฑ์ทางการค้าที่เปลี่ยนแปลงไปตามนโยบายของรัฐบาลในแต่ละประเทศ และนโยบายด้านสภาพภูมิอากาศที่เข้มงวดมากยิ่งขึ้นจากบริษัทแม่ในต่างประเทศ  ตลอดจนตอบสนองความต้องการของลูกค้าใหม่หรือกลุ่มเป้าหมายที่ให้ความสำคัญกับเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมากขึ้น

กลยุทธ์ที่ 1 สร้างเมืองที่มีความยืดหยุ่นต่อสภาพภูมิอากาศที่แปรปรวน (Climate Resilience City)

บริษัทฯ ให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการรับมือกับสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงไปจากอดีต เช่น รูปแบบการตกของฝน ปริมาณน้ำฝนและความรุนแรงของพายุฝนในพื้นที่ภาคตะวันออก จนเกิดภาวะน้ำแล้งหรือน้ำท่วมในบางปี บริษัทฯ จึงมุ่งเน้นการบริหารจัดการน้ำทุกประเภทอย่างบูรณาการและยั่งยืน ได้แก่ น้ำดิบ น้ำใช้ น้ำแล้ง น้ำเสีย และน้ำท่วม เพื่อสร้างความมั่นคงทางน้ำและสร้างความมั่นใจให้แก่ลูกค้าและชุมชนในพื้นที่ และลดความเสี่ยงที่จะเกิดผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจและคุณภาพชีวิตของผู้มีส่วนได้เสีย

  • มุ่งมั่นเพื่อความมั่นคงทางน้ำโดยการสร้างอ่างเก็บน้ำภายในพื้นที่
    บริษัทฯ กำหนดเป็นนโยบายในจัดหาน้ำดิบสำรองให้มีมากกว่าความต้องการใช้ในนิคมอุตสาหกรรมต่อปี อย่างน้อย 150%
  • ลดการพึ่งพาน้ำผิวดินโดยใช้ประโยชน์จากน้ำที่ผ่านการบำบัดแล้วตามหลักการ Zero discharge
    บริษัทฯ นำน้ำที่ผ่านการบำบัดแล้วกลับมาใช้ใหม่ให้เกิดประโยชน์สูงสุดเพื่อลดการพึ่งพาน้ำดิบจากแหล่งน้ำธรรมชาติและลดความเสี่ยงและความรุนแรงของผลกระทบหากเกิดภาวะน้ำแล้ง
  • พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและความสามารถในการเตรียมรับมือและป้องกันภาวะน้ำท่วม
    บริษัทฯ ได้พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและระบบบริหารจัดการน้ำเพื่อเตรียมรับมือและป้องกันภาวะน้ำท่วม และส่งเสริมผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่มให้ตระหนักถึงการใช้ทรัพยากรน้ำอย่างคุ้มค่า การรักษาความสะอาดของลำรางสาธารณะให้ปราศจากขยะและสิ่งกีดขวางทางเดินน้ำ ผ่านศูนย์เรียนรู้ด้านการบริหารจัดการน้ำของอมตะ และโครงการพัฒนาชุมชนต้นแบบด้านการจัดการน้ำ
  • สรรหาทำเลที่ตั้งเชิงกลยุทธ์
    บริษัทฯ ให้ความสำคัญกับทำเลที่ตั้งของโครงการที่จะทำให้ผู้ประกอบการโรงงานอุตสาหกรรมได้รับผลกระทบเชิงลบน้อยที่สุดและสามารถดำเนินธุรกิจได้ในระยะยาว จึงใช้ผลการศึกษาผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของแต่ละภูมิภาคเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญในการคัดเลือกทำเลที่ตั้งของโครงการในอนาคต

กลยุทธ์ที่ 2 สร้างเมืองที่เป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutral City)

บริษัทฯ ให้ความสำคัญกับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จึงได้กำหนดเป้าหมายที่ท้าทายมากยิ่งขึ้นในการมุ่งสู่การเป็นเมืองที่เป็นกลางทางคาร์บอนในปี 2583 และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงร้อยละ 30 ภายในปี 2573 เทียบกับปีฐาน 2562 เพื่อสนับสนุนความตกลงปารีส (Paris Agreement) และเป้าหมายของประเทศไทยที่ได้ประกาศในการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 26 ว่าจะเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ในปี 2593 และปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2608

  • เพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน
    บริษัทฯ ปรับเปลี่ยนอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ใช้ในสำนักงานและพื้นที่ส่วนกลางให้เป็นอุปกรณ์ที่ประหยัดไฟฟ้า ลดการใช้พลังงานเชื้อเพลิงจากฟอสซิล และบูรณาการกลยุทธ์นี้เข้าเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาแผนธุรกิจของบริษัทฯ ในการขับเคลื่อนโครงการเมืองอัจฉริยะ (AMATA Smart City) ที่มุ่งเน้นการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพจากการใช้เทคโนโลยีและแหล่งพลังงานคาร์บอนต่ำ
  • ลดขยะที่ส่งกำจัดด้วยวิธีฝังกลบให้น้อยที่สุด
    บริษัทฯ นำหลักการของเศรษฐกิจหมุนเวียนมาปรับใช้ในกระบวนการจัดการขยะมูลฝอยและขยะอุตสาหกรรม และส่งเสริมการคัดแยกขยะรีไซเคิลและใช้ประโยชน์จากขยะรีไซเคิลให้ได้มากที่สุด เพื่อลดขยะที่ส่งกำจัดด้วยวิธีฝังกลับให้เหลือน้อยที่สุด ตามเป้าหมาย Zero Waste to Landfill
  • เร่งการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานหมุนเวียนด้วยเทคโนโลยีที่เหมาะสม
    บริษัทฯ ส่งเสริมการผลิตพลังงานหมุนเวียนด้วยเทคโนโลยีที่เหมาะสมกับธุรกิจและพื้นที่ เพื่อใช้ภายในนิคมอุตสาหกรรมให้มากขึ้น โดยเฉพาะระบบสาธารณูปโภคส่วนกลางของบริษัทฯ
  • ร่วมมือกับพันธมิตรในการเพิ่มความสามารถในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
    บริษัทฯ ส่งเสริมให้มีการศึกษาและพัฒนาเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตลอดห่วงโซ่คุณค่าและวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ บริษัทฯ จึงใส่ใจในการออกแบบและบริหารโครงการด้วยเทคโนโลยี Building Information Modeling (BIM) และมาตรฐานอาคารของ Leadership in Energy & Environmental Design (LEED) รวมถึงการพัฒนา Platform ต่างๆ

ผลการดำเนินงานด้านการลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ

บริษัทฯ ได้จัดทำข้อมูลคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร (Carbon Footprint for Organization: CFO) ปีละ 1 ครั้ง โดยอ้างอิงวิธีการคำนวณปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากแนวทางการประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร ขององค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) ประกอบด้วยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางตรง (scope 1) การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมจากการใช้พลังงาน (scope 2) และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมอื่น ๆ (scope 3) โดยมีขอบเขตการรายงานครอบคลุม 3 พื้นที่ประกอบด้วย สำนักงานใหญ่ กรุงเทพมหานคร นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ชลบุรี และนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ระยอง เฉพาะในพื้นที่สำนักงานของบริษัทฯ ทั้งสามแห่ง และในพื้นที่ส่วนกลางของนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ชลบุรี และอมตะซิตี้ ระยอง ที่ดูแลรับผิดชอบโดยบริษัทฯ

ในปี 2566 บริษัทฯ ได้รับการขึ้นทะเบียนคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กรต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 จากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) โดยเป็นข้อมูลของปี 2565

ในปี 2565 บริษัทฯ ปล่อยก๊าซเรือนกระจกรวมทั้งสิ้น 58,077 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า จากการดำเนินงาน จำแนกเป็นการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางตรง (scope 1) จำนวน 454 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า และปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมจากการใช้พลังงานไฟฟ้าที่ซื้อมา (scope 2) จำนวน 15,393 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า  รวมการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางตรงและทางอ้อม (scope 1 & 2) จำนวน 15,847 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (tCO2e) ลดลงร้อยละ 7.8  เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และลดลงร้อยละ 11.9 เทียบกับปีฐาน 2562  อัตราการการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางตรงและทางอ้อมต่อหน่วยพื้นที่ที่ดำเนินงาน (Combined GHG (scope 1&2) Intensity) ของปี 2565 เท่ากับ 0.49 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อไร่ หรือ 3.07 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อเฮกตาร์

ส่วนการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของบริษัทฯ ในปี 2566 จากการคำนวณโดยอ้างอิงวิธีการคำนวณตามแนวทางการประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร ขององค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) พบว่ามีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางตรง (scope 1) จำนวน 526 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า และปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมจากการใช้พลังงานไฟฟ้าที่ซื้อมา (scope 2) จำนวน 16,224  ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า  รวมการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางตรงและทางอ้อม (scope 1 & 2) จำนวน 16,750 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (tCO2e) เพิ่มขึ้นจากปี 2565 ร้อยละ 5.7 แต่ลดลงจากปีฐาน 2562 ร้อยละ 6.9 ซึ่งเป็นผลจากการลดการใช้พลังงานไฟฟ้าที่ซื้อมาจากภายนอก จากกิจกรรมการประหยัดพลังงาน และจากการใช้พลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ที่ผลิตเพิ่มขึ้นในนิคมอุตสาหกรรม ข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของปี 2566 นี้ยังอยู่ในระหว่างการทวนสอบของศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านกลยุทธ์ธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (VGREEN) คาดว่าจะดำเนินการเสร็จภายในไตรมาสที่ 2 ของปี 2567

อัตราการการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางตรงและทางอ้อมต่อหน่วยพื้นที่ที่ดำเนินงาน (Combined GHG (scope 1&2) Intensity) ของปี 2566 เท่ากับ 0.50 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อไร่ หรือ 3.15 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อเฮกตาร์ เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.4 จากปี 2565 แต่ลดลงร้อยละ 11.8 เมื่อเทียบกับปีฐาน 2562

ในปี 2565 บริษัทฯ ปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมอื่นๆ (scope 3) จำนวนรวม 42,230 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ลดลงร้อยละ 1.9 เมื่อเทียบกับปี 2564 ส่วนในปี 2566 บริษัทฯ ปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมอื่นๆ (scope 3) จำนวนรวม 46,470 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า เพิ่มขึ้นร้อยละ 10.04  จากปี 2565 การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมอื่นๆ (scope 3) สามารถจำแนกตามกิจกรรมการทำงานของผู้รับเหมาได้ดังนี้

บริษัทฯ จึงส่งเสริมการคัดแยกขยะรีไซเคิลให้ได้มากที่สุดเพื่อลดการกำจัดโดยวิธีฝังกลบ และสนับสนุนให้ผู้รับเหมานำนวัตกรรมและเทคโนโลยีมาใช้เพื่อลดการใช้พลังงานเชื้อเพลิงจากฟอสซิล และส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียนในการดูแลระบบสาธารณูปโภคของบริษัทฯ เพื่อลดการใช้พลังงานไฟฟ้าที่ซื้อมาและการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมอื่นๆ (scope 3)  ให้ได้มากที่สุด

ร่วมสร้างอนาคตไปกับอมตะ

AMATA

Contact us for more details.

Thailand
+66 38 939 007
Vietnam

+84 251 3991 007 (South)
+84 203 3567 007 (North)

Myanmar
+95 1 230 5627
Laos

+85 620 5758 0007

© AMATA CORPORATION PCL. All rights reserved.  Web by Toneyes  Web by Toneyes