การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศเป็นปัจจัยที่ท้าทายต่อการดำเนินธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมของบริษัทฯ อย่างมาก นอกจากจะทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการบริหารจัดการน้ำซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญของการดำเนินธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมแล้ว ยังมีความเสี่ยงทางกายภาพ (Physical risk) จากด้านภัยธรรมชาติที่รุนแรงมากขึ้นในแต่ละปี การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศจึงทำให้เกิดผลกระทบที่มีนัยสำคัญต่อกลุ่มผู้มีส่วนได้เสียหลายกลุ่มในห่วงโซ่คุณค่า เช่น การใช้น้ำในสายการผลิตของโรงงานผู้ประกอบการในนิคมอุตสาหกรรม และการใช้ชีวิตและความเป็นอยู่ของพนักงานโรงงานและชุมชนท้องถิ่นโดยรอบ รวมถึงผลกระทบต่อบริษัทฯ ที่ทำให้ต้นทุนการดำเนินงานสูงขึ้นจากการเตรียมพร้อมให้สามารถจัดหาน้ำสะอาดที่มีคุณภาพตามมาตรฐานส่งให้โรงงานในนิคมอุตสาหกรรมได้อย่างต่อเนื่อง และการป้องกันผลกระทบทางกายภาพจากภัยธรรมชาติต่าง ๆ ในนิคมอุตสาหกรรมที่ดำเนินการอยู่และโครงการในอนาคต
นอกจากนี้ ในปัจจุบันเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงของกฎหมายและระเบียบข้อบังคับต่างๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับสภาพภูมิอากาศทั้งในประเทศและต่างประเทศ ที่เป็นความเสี่ยง (Transition risk) ต่อทั้งบริษัทฯ และผู้ประกอบการในนิคมอุตสาหกรรม ทำให้บริษัทฯ ต้องเตรียมพร้อมรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นของลูกค้าปัจจุบันและลูกค้าในอนาคต เช่น การจัดเตรียมและเปิดเผยข้อมูลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับการใช้พลังงานและการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของสาธารณูปโภคต่างๆ หรือการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่ยั่งยืน เพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้นและลดความเสี่ยงต่อความสามารถในการแข่งขันของบริษัทฯ ในอนาคต
บริษัทฯ มองเห็นโอกาสในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ที่มาจากความต้องการของผู้ประกอบการในนิคมอุตสาหกรรมในปัจจุบันที่ได้รับผลกระทบจากการบังคับใช้กฎหมายและข้อบังคับด้านสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลง กฎเกณฑ์ทางการค้าที่เปลี่ยนแปลงไปตามนโยบายของรัฐบาลในแต่ละประเทศ และนโยบายด้านสภาพภูมิอากาศที่เข้มงวดมากยิ่งขึ้นจากบริษัทแม่ในต่างประเทศ ตลอดจนตอบสนองความต้องการของลูกค้าใหม่หรือกลุ่มเป้าหมายที่ให้ความสำคัญกับเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมากขึ้น
การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศเป็นความท้าทายสำคัญระดับโลกที่นำไปสู่ความเสี่ยงในการเกิดภัยพิบัติและส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ ความเป็นอยู่ และความยั่งยืนของสังคมโลก ซึ่งผลกระทบในปัจจุบันได้ทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด บริษัทฯ ตระหนักถึงความสำคัญของความร่วมมือจากทุกภาคส่วนเพื่อร่วมกันลดผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ และสนับสนุนความตกลงปารีส (Paris Agreement) เมื่อเดือนธันวาคม ปี 2558 ที่ประเทศไทยได้แสดงเจตจำนงที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเมื่อเทียบกับปีฐาน 2558 ลง 20-25% ภายในปี 2573 เพื่อควบคุมการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกให้ต่ำกว่า 2 องศาเซลเซียสเมื่อเทียบกับยุคก่อนการปฏิวัติอุตสาหกรรม และข้อตกลงด้านสภาพภูมิอากาศกลาสโกว์ (Glasgow Climate Pact) ที่สนับสนุนการใช้พลังงานสะอาด ลดการใช้ถ่านหินและพลังงานฟอสซิล รวมถึงการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติเป้าหมายที่ 13
บริษัทฯ ตระหนักถึงความสำคัญของความร่วมมือจากทุกภาคส่วนเพื่อร่วมกันลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก บริษัทฯ จึงได้บูรณาการ “นโยบายการจัดการกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ” เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการกำหนดเป้าหมายขององค์กรและแผนการดำเนินงานเพื่อมุ่งสู่การเป็นเมืองคาร์บอนต่ำ ที่มุ่งเน้นการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพภายในปี 2583 และลดอัตราการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางตรงและทางอ้อม (scope 1 & 2) ต่อหน่วยพื้นที่ที่ดำเนินงาน ลงร้อยละ 30 ในปี 2573 เทียบกับปีฐาน 2562 บริษัทฯ ได้กำหนดแนวทางการจัดการเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการดำเนินงานและรับมือกับสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลง ภายใต้แคมเปญ “Save Earth, Safe Us” โดยมีกลยุทธ์การจัดการ แบ่งออกเป็น 3 ด้าน ได้แก่
บริษัทฯ ให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการรับมือกับสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงไปจากอดีต เช่น รูปแบบการตกของฝน ปริมาณน้ำฝนและความรุนแรงของพายุฝนในพื้นที่ภาคตะวันออก จนเกิดภาวะน้ำแล้งหรือน้ำท่วมในบางปี บริษัทฯ จึงมุ่งเน้นการบริหารจัดการน้ำทุกประเภทอย่างบูรณาการและยั่งยืน ได้แก่ น้ำดิบ น้ำใช้ น้ำแล้ง น้ำเสีย และน้ำท่วม เพื่อสร้างความมั่นคงทางน้ำและสร้างความมั่นใจให้แก่ลูกค้าและชุมชนในพื้นที่ และลดความเสี่ยงที่จะเกิดผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจและคุณภาพชีวิตของผู้มีส่วนได้เสีย
บริษัทฯ ให้ความสำคัญกับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จึงได้กำหนดเป้าหมายที่ท้าทายมากยิ่งขึ้นในการมุ่งสู่การเป็นเมืองที่เป็นกลางทางคาร์บอนในปี 2583 และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงร้อยละ 30 ภายในปี 2573 เทียบกับปีฐาน 2562 เพื่อสนับสนุนความตกลงปารีส (Paris Agreement) และเป้าหมายของประเทศไทยที่ได้ประกาศในการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 26 ว่าจะเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ในปี 2593 และปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2608
บริษัทฯ มองเห็นโอกาสในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ที่มาจากความต้องการของผู้ประกอบการในนิคมอุตสาหกรรมในปัจจุบันที่ได้รับผลกระทบจากการบังคับใช้กฎหมายและข้อบังคับด้านสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลง กฎเกณฑ์ทางการค้าที่เปลี่ยนแปลงไปตามนโยบายของรัฐบาลในแต่ละประเทศ และนโยบายด้านสภาพภูมิอากาศที่เข้มงวดมากยิ่งขึ้นจากบริษัทแม่ในต่างประเทศ ตลอดจนตอบสนองความต้องการของลูกค้าใหม่หรือกลุ่มเป้าหมายที่ให้ความสำคัญกับเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมากขึ้น
บริษัทฯ ได้จัดทำข้อมูลคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร (Carbon Footprint for Organization: CFO) ปีละ 1 ครั้ง โดยอ้างอิงวิธีการคำนวณปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากแนวทางการประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร ขององค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) ประกอบด้วยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางตรง (scope 1) การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมจากการใช้พลังงาน (scope 2) และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมอื่น ๆ (scope 3) โดยมีขอบเขตการรายงานครอบคลุม 3 พื้นที่ประกอบด้วย สำนักงานใหญ่ กรุงเทพมหานคร นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ชลบุรี และนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ระยอง เฉพาะในพื้นที่สำนักงานของบริษัทฯ ทั้งสามแห่ง และในพื้นที่ส่วนกลางของนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ชลบุรี และอมตะซิตี้ ระยอง ที่ดูแลรับผิดชอบโดยบริษัทฯ
ในปี 2565 บริษัทฯ ได้รับการขึ้นทะเบียนคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กรต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 จากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) โดยเป็นข้อมูลของปี 2564
ในปี 2564 บริษัทฯ ปล่อยก๊าซเรือนกระจกรวมทั้งสิ้น 60,207 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า จากการดำเนินงาน จำแนกเป็นการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางตรง (scope 1) จำนวน 408 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า และปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมจากการใช้พลังงานไฟฟ้าที่ซื้อมา (scope 2) จำนวน 16,774 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า รวมการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางตรงและทางอ้อม (scope 1 & 2) จำนวน 17,182 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (tCO2e) เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.9 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า แต่ลดลงร้อยละ 4.5 เทียบกับปีฐาน 2562 อัตราการการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางตรงและทางอ้อมต่อหน่วยพื้นที่ที่ดำเนินงาน (Combined GHG (scope 1&2) Intensity) ของปี 2564 เท่ากับ 0.54 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อไร่ หรือ 3.35 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อเฮกตาร์
ส่วนการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของบริษัทฯ ในปี 2565 จากการคำนวณโดยอ้างอิงวิธีการคำนวณตามแนวทางการประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร ขององค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) พบว่ามีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางตรง (scope 1) จำนวน 443 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า และปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมจากการใช้พลังงานไฟฟ้าที่ซื้อมา (scope 2) จำนวน 15,370 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า รวมการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางตรงและทางอ้อม (scope 1 & 2) จำนวน 15,813 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (tCO2e) ลดลงจากปี 2564 ร้อยละ 7.97 และลดลงจากปีฐาน 2562 ร้อยละ 12.12 เป็นผลจากการลดการใช้พลังงานไฟฟ้าที่ซื้อมาจากภายนอก จากกิจกรรมการประหยัดพลังงาน และจากการใช้พลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ที่ผลิตเพิ่มขึ้นในนิคมอุตสาหกรรม ข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของปี 2565 นี้ยังอยู่ในระหว่างการทวนสอบของศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านกลยุทธ์ธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (VGREEN) คาดว่าจะดำเนินการเสร็จภายในไตรมาสที่ 2 ของปี 2566
อัตราการการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางตรงและทางอ้อมต่อหน่วยพื้นที่ที่ดำเนินงาน (Combined GHG (scope 1&2) Intensity) ของปี 2565 เท่ากับ 0.49 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อไร่ หรือ 3.06 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อเฮกตาร์ ลดลงร้อยละ 8.6 จากปี 2564 และลดลงร้อยละ 14.0 เมื่อเทียบกับปีฐาน 2562
+84 251 3991 007 (South)
+84 203 3567 007 (North)
+85 620 5758 0007
© AMATA CORPORATION PCL. All rights reserved. Web by Toneyes